|
จี้นายกฯประกาศยุบสภาทางออกแก้ปัญหาศก.-ฟื้นความเชื่อมั่น
ผู้จัดการรายวัน(23 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ผู้จัดการกองทุนแนะรัฐบาลยุบสภาขจัดปัญหาการเมืองยืดเยื้อ เหตุความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ลงทุน ย้ำถือเป็นวิธีที่สะอาดและรวดเร็วที่สุด คาดเศรษฐกิจโลกอาจจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอีกรอบ หลังดอกเบี้ยเฟดมีแนวโน้มทะยานต่อถึง 5% จากปัญหาเงินเฟ้อ กดดันตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
นายธีระ ภู่ตระกูล ประธานบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่านักลงทุนทั้งในและต่างประเทศถือเป็นความเสี่ยง ซึ่งทางเลือกในการแก้ปัญหานั้นมองว่ามีอยู่ 3 ทางออกคือ หนึ่งรัฐบาลยื้อออกไป ซึ่งผลที่ตามมาอาจจะรุนแรงมากขึ้น สองคือ นายกรัฐมนตรีลาออกแล้วตั้งคนใหม่ขึ้นมาบริหารงานแทน และประเด็นที่สามคือ ยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่
"ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่ชอบ โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าแนวทางที่รัฐบาลควรทำมากที่สุด เพื่อขจัดความไม่แน่นอนคือ การยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะถือเป็นวิธีที่สะอาดและรวดเร็วที่สุดแม้ว่าอาจจะต้องเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งไปบ้าง" นายธีระกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านการเมืองถือเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ถ้าหากมองลึกลงไปถึงเศรษฐกิจของประเทศแล้วยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 7% รวมทั้งผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับผลกระทบเงินทุนไหลออก นายธีระกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวคงยังไม่เกิดขึ้น แต่อาจจะเป็นช่วงที่นักลงทุนพักเงินเพื่อรอดูสถานการณ์และประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งนอกเหนือจากปัญหาความไม่แน่นอนเรื่องการเมืองแล้วยังรวมถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนการชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายธีระกล่าวว่า คงต้องรอดูว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวแล้วอยากให้จบโดยเร็ว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความไม่แน่นอนสำหรับผู้ลงทุน และอาจจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน อีกทั้งยังมีสิ่งที่รัฐบาลเองยังต้องดำเนินการต่ออีกหลายอย่าง
นายธีระกล่าวถึงภาวการณ์ลงทุนทั่วโลกว่า ปัจจัยที่น่าจับตามองในขณะนี้คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่มีโอกาสจะปรับขึ้นต่อไปอีก โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีการคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เนื่องจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจจะขยับขึ้นไปถึง 5% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต) มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบการฝากเงินในสหรัฐอเมริกาแล้วได้ดอกเบี้ย 5% ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ก็ได้ 5% เช่นกัน แต่มีความเสี่ยงมากกว่า แน่นอนว่าผู้ลงทุนย่อมเลือกฝากเงินไว้ที่เดิมที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ทั้งนี้ ความเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีโอกาสจะส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
"สำหรับประเทศไทยต้องยอมรับว่า เป็นประเทศเกิดใหม่เช่นกัน และจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรอบที่ผ่านมา ทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเตรียมตัวและมีความพร้อมแค่ไหน หากมรสุมกลับมาอีกรอบเศรษฐกิจบ้านเราจะรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน แต่หากจะเกิดวิกฤตอีกรอบเชื่อว่าอาจจะไม่รุนแรงเท่าครั้งที่ผ่านมา" นายธีระกล่าว
ทั้งนี้ จากการประเมินประเทศไทยของธนาคารโลกให้คะแนนในเรื่องธรรมรัฐของประเทศออกมาไม่ดีนักทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาการคอร์รัปชั่นความโปร่งใส และความไม่เข้มงวดของกฎหมายต่างๆ ในประเทศ เช่น การเข้าจดทะเบียนของบริษัท กฝผ. จำกัด (มหาชน) ที่ถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีสาเหตุ รวมทั้งการเข้าจดทะเบียนของเบียร์ช้าง ที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
นอกจากนี้ ในเรื่องความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินของไทยนั้น สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส หรือ มูดี้ส์ ได้ให้คะแนนอยู่ที่ระดับ D- แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ดีกว่าอาเจนติน่า หรือรัสเซีย แต่นักลงทุนต่างประเทศก็ยังมองในภาพที่ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม หากมองภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
นายธีระกล่าวแนะนำผู้ลงทุนว่า ในช่วงที่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราดอกเบี้ยการลงทุนในตราสารหนี้อาจจะไม่ดีนักนอกจากตราสารหนี้ระยะสั้นๆ แต่ผลตอบแทนประมาณ 3.7-3.8% อาจจะเอาชนะเงินเฟ้อที่ระดับ 5.9% ในปัจจุบันไม่ได้ ส่วนการลงทุนในหุ้น ผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนระยะยาว ซึ่งการลงทุนที่น่าสนใจคือการลงทุนในดัชนีเซท 50 เพราะถือว่าเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องที่ดี รวมทั้งต้องมีการกระจายการลงทุนออกไปต่างประเทศด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานของบลจ.ฟินันซ่าในปีนี้ นายธีระกล่าวว่า ในช่วงกลางปีบริษัทมีแผนจะจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือกออกกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศนั้น เนื่องจากปัจจุบัน บลจ.ฟินันซ่ามีผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนครบหมดแล้ว แต่สำหรับกองทุนประเภทคอมมอดิตี้นั้นยังไม่มี
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|