กระแสการไหลย่าเข้าสู่ภาคราชการของคนในวัยทำงานนับวันจะมีมากขึ้น แต่ด้วยเหตุผลเพื่อความมั่นคง
และสวัสดิการต่าง ๆ ที่อาจจะไม่สามารถรับภาระในยามฉุกเฉิน อาทิ ค่ารักษาพยาบาลฟรีในโรงพยาบาลของรัฐเป็นต้น
แต่หากเป็นทายาทของเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ เช่น 'พรวิช ศิลาอ่อน' ทายาทของอมเรศและภัทรา
ศิลาอ่อน เจ้าของธุรกิจ ร้านอาหารชื่อดังอย่างเอสแอนด์พี ที่เข้ามาในวงการราชการ
เพียงเพื่อรับเงินเดือนตามวุฒิไม่กี่พันบาท ก็คงจะมีข้อสงสัยกันบ้างว่า เพราะอะไร
ทำไม
พรวิช ศิลาอ่อน เป็นลูกชายคนสุดท้องในจำนวนลูกชาย 3 คนของอมเรศ และภัทรา
ศิลาอ่อน เจ้าของธุรกิจร้านอาหารชื่อดังเอสแอนด์พี จบปริญญาตรีด้านปรัชญาจากบอสตันคอลเลจ
ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโทด้านมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน
หลังจากเรียนจบปริญญาโท เมื่อ พ.ศ.2537 พรวิช เริ่มต้นฝึกงานที่กรมสรรพากร
โดยอมเรศเป็นคนพาไปฝากงานกับคนรู้จักในกรมสรรพากร ซึ่งเป็นช่วงรอผลวิทยานิพนธ์
ปัจจุบันพรวิช เป็นข้าราชการประจำสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สภาพัฒน์) ตำแหน่งนักวิเคราะห์ 4 ฝ่ายสาธารณูปการกองโครงการพื้นฐาน หน้าที่รับผิดชอบของกองฯ
คือ การดูเรื่องนโยบายแผนงานและโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทางด้านสาธารณูปการ
ประกอบด้วย น้ำประปา ที่อยู่อาศัย น้ำเสีย การจัดการขยะ
ที่สภาพัฒน์ พรวิช เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราวเมื่อ พ.ศ.2538 และคราวนี้เป็นการทำงานที่เกิดจากการแนะนำของฝ่ายภัทรา
ผู้เป็นแม่
"ตอนสาว ๆ คุณแม่เคยทำงานที่สภาพัฒน์มาก่อน ก็เลยรู้จักกับท่านเลขาฯ
สุเมธ (สุเมธ ตันติเวชกุล) พาผมมาแนะนำกับท่านแล้วให้คุยกันเฉย ๆ โดยไม่ได้บอกว่าที่นี่ดีอย่างไร
หลังจากคุยแล้วผมก็ติดใจตรงที่ว่างานของสภาพัฒน์กว้างขวางครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจและสังคม
และตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองชอบอะไรในการทำงาน เลยคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
เพราะทำให้เรามองเห็นถึงปัญหารอบด้าน" พรวิช เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานกับสภาพัฒน์
ซึ่งทำให้เขาบรรจุเป็นข้าราชการในเวลาต่อมา
เป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ 1 เดือนพรวิชก็ผ่านการทดสอบ ก.พ. (สำนักงานข้าราชการพลเรือน)
และได้บรรจุเป็นข้าราชการประจำซึ่งก่อนที่จะทราบผลว่าผ่านการสอบ ก.พ. หรือไม่ทางสภาพัฒน์ซึ่งพรวิชได้ทำงานอยู่แล้วได้ติดต่อกับทาง
ก.พ. ไว้ก่อนว่าถ้าเขาสอบได้ขอโอนมาให้ทำงานกับสภาพัฒน์ พรวิช จึงไม่ได้มีตัวเลือกอื่นเข้ามาเสนอ
เพราะตามระเบียบที่ ก.พ. ปฏิบัติอยู่ คือ ภายหลังที่ผู้สอบเข้ารับราชการสอบผ่าน
ทาง ก.พ. จะมีหนังสือแจ้งพร้อมส่งรายการมาให้เลือกว่าจะไปบรรจุที่กรมไหน
การะทรวงไหนที่เหมาะสม สำหรับคนที่ยังไม่ได้ไปฝึกงานหรือเป็นลูกจ้างชั่วคราวมาก่อน
หรือไม่ได้มีการติดต่อกับทางราชการเลย
เรียกได้ว่าการเข้ามารับราชการของพรวิช เกิดจากการสนับสนุนของครอบครัวอย่างเต็มที่
โดยที่ไม่ต้องมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการทางบ้านในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลเพื่อให้พรวิชได้มีโอกาสเรียนรู้การทำงาน
และได้ประสบการณ์จากโลกภายนอกเสียก่อน
"ผมก็เห็นด้วยที่จะได้หาประสบการณ์จากโลกภายนอก ซึ่งก็ไม่กำหนดว่าต้องเป็นงานภาครัฐ
หรือเอกชนแต่ผมมองว่าผมมี พี่ชาย 2 คน และทั้ง 2 คน ก็เข้าไปในภาคเอกชนแล้ว
สำหรับผมก็ออกมาทำราชการ" พรวิช กล่าวถึงความคิดในการหาประสบการณ์ที่ตรงกับบุพการี
พร้อมทั้งพูดถึงความเหมาะสมของตนเองกับสภาพัฒน์ว่า
สิ่งที่เขาได้เรียนมาค่อนข้างเป็นวิชาเฉพาะไม่ใช่วิชาชีพ และโดยธรรมชาติเขาเป็นคนมองอะไรกว้าง
ๆ ชอบมองความคิดและความประพฤติของคน ทำให้การเข้ามารับราชการในสภาพัฒน์ ตรงกับความสนใจของตนเอง
ในแง่ที่ว่าสภาพัฒน์เป็นหน่วยงานที่มองอะไรกว้าง ๆ ปัญหากว้าง ๆ เป็นการแก้ปัญหาภาพรวมของชาติในหลาย
ๆ ด้านทำให้ชอบการทำงานที่สภาพัฒน์ไปโดยปริยาย รวมทั้งชอบการวางแผนการวางนโยบาย
สาขาวิชาที่พรวิช เรียนมาหากมองไปแล้วอาจจะไม่ตรงทีเดียวกับงานที่ทำอยู่
แต่เขาก็ให้มุมมองกับสิ่งที่เรียนมากับการทำงานได้น่าฟังว่า ถ้าเรามองว่าเราได้ประโยชน์จากการเรียนในมหาวิทยาลัยจริง
เราจะทำอะไรได้ทุกอย่างเพราะในการเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้ขึ้นกับว่าเราไปเรียนข้อมูลอะไรมา
เพราะข้อมูลในโลกนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาสิ่งที่เราได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยคือเราควรจะได้ความคิด
รู้ว่าเราคิดอย่างไร เพราะถ้าคิดไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ถ้าคิดเป็น เจอปัญหาอะไร
เราแก้ไขได้ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะไม่มีใครในโลกที่รู้ทุกอย่างได้
"สิ่งที่ผมเรียนมาแน่นอนว่าได้นำมาใช้ในงานที่ทำ เพราะว่าวิธีที่อยู่ในสภาพัฒน์มีหลายอย่างที่เราต้องมองให้กว้าง
หรืออย่างเวลาคิดเราก็จะได้จากที่เรียนปรัชญาและมนุษยศาสตร์มาตัวอย่างผมเรียนเกี่ยวกับว่า
เพลโตคิดอย่างไร แน่นอนเราเอามาใช้บอกคนอื่นไม่ได้ว่าเพลโตคิดอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะมันไม่เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่สิ่งที่ผมเอามาใช้ได้คือ วิธีการคิดของเพลโตวิธีการมองของแต่ละปราชญ์ที่ได้เรียนมา
วิธีเถียง วิธีแก้ปัญหา และจากการที่เราเอาสิ่งเหล่านี้มาผสมกันได้ ก็จะเป็นระบบการคิดของตัวเองได้"
ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของความชอบก็มีกันได้หลายแบบเพราะครั้งหนึ่งระหว่างปิดภาคเรียน
พรวิช ได้เคยมีโอกาสฝึกงานกับบริษัทโฆษณา ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองไทย
เขาก็รู้สึกชอบเช่นกัน
ทำให้พรวิช ยังไม่สามารถเลือกได้ว่าในอนาคตการงานของเขาจะเป็นอย่างไร หลังจากแผนที่เขาเตรียมตัวจะลาไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศที่อเมริกาในปีหน้าว่าจะมาลงเอยกับอาชีพราชการต่อไปหรือการทำงานกับภาคเอกชน
หรือทำงานกับธุรกิจที่ครอบครัวมีอยู่
มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจในตอนนี้ สำหรับคนหนุ่มวัยไม่เกินเบญจเพส
"ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเรียนเฉพาะไปในทางด้านไหน รอให้เข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ก่อน
ถ้าคิดว่าอนาคตจะรับราชการต่อ ก็อาจจะเลือกเรียนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ
หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการทูต แต่ถ้าเลือกเรียนทางด้านการค้าระหว่างประเทศธุรกิจระหว่างประเทศอนาคตก็อาจจะไม่รับราชการ
ยังไม่ตัดสินใจตอนนี้ จึงยังไม่มีเป้าหมายใดในการรับราชการ" พรวิช กล่าว
และจากประสบการณ์การทำงานบางเสี้ยวที่ผ่านมา ซึ่งพรวิชได้สัมผัสกับการทำงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
ทำให้เขาได้เห็นสิ่งแตกต่างที่มักจะพบเห็นได้ง่ายเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ นั่นคือ
ความแตกต่างในแง่ของการกระจายอำนาจ ในภาคเอกชน คนที่เข้าไปทำงานใหม่ ๆ
หรือพวกจูเนียร์ จะมีอำนาจในการตัดสินใจน้อย แต่ก็ยังมีอำนาจในการตัดสินใจในการดำเนินการมากกว่าคนที่อยู่ในระบบราชการ
เพราะการทำงานของภาคเอกชน จะไม่ยึดเหนี่ยวกับขั้นตอน และระบบอาวุโสมากเท่ากับราชการ
ทั้งนี้ การยึดระบบอาวุโสในภาครัฐ ก็ต้องถือว่ามีส่วนดี แต่บางทีก็ทำให้งานช้า
ซึ่งพรวิชคิดว่าอุปสรรคการทำงานนี้จะค่อย ๆ ลดลง หลังจากที่มีการตื่นตัวและมีความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและราชการ
ที่จะจัดระบบการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นเรื่องธรรมดาอยู่เอง ที่การทำงานของพรวิช จะมีเรื่องอึดอัดบ้างแต่เขาก็ได้เพื่อนร่วมงานที่ดีมาก
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเขาบอกว่าไม่ว่าการทำงานที่ไหน องค์กรรัฐหรือเอกชน
ถ้าเราไม่สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ ถึงงานจะสนุกขนาดไหน ก็คงจะอยู่ไม่ได้
แต่พรวิช ยังสามารถสนุกกับการทำงานที่นี่ได้ เพราะเพื่อนร่วมงานดีและค่อนข้างกลมเกลียวกันมาก
ประกอบกับคำสั่งสอนที่สำคัญจากพ่อและแม่ของเขาว่า ให้อดทนกับการทำงาน และต้องยอมรับในบางอย่างว่าระบบราชการยังมีข้อบกพร่อง
และจะเปลี่ยนได้ยากกว่าของเอกชน เพราะเป็นองค์กรใหญ่ ต้องมีความอดทนสูงเป็นที่ตั้ง
แม้จะมีปัญหาเล็กน้อยในการทำงาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่พรวิชเชื่อว่าจะได้แน่นอนจากประสบการณ์การทำงานในสภาพัฒน์
ก็คือความสัมพันธ์ที่มีกับภาครัฐจะช่วยในการดำเนินธุรกิจได้มากแน่นอน ด้วยเหตุผลว่า
"ไม่ว่าจะต้องดำเนินธุรกิจใดภาคใด เป็นนักธุรกิจ ตำรวจ ทหาร หรืออาชีพใด
ทุกคนจะต้องมีการติดต่อกับภาครัฐ โดยเฉพาะประเทศไทย จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภาคราชการ
และถ้าใครสามารถเข้าใจระบบการทำงานของราชการ คน ความคิดของคนในภาครัฐ การรู้จักคนที่อยู่ในภาครัฐ
สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์แน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปในทางมิชอบเสมอไป"
เป็นเรื่องธรรมดา หากจะมีใครมองว่าการสร้างสัมพันธ์ที่แนบแน่นไว้ระหว่างภาครัฐกับองค์กรเอกชนใด
ๆ จะเป็นการนำไปสู่เหตุผลที่ไม่ดี เพราะการที่นักธุรกิจพึ่งพาภาครัฐในทางมิชอบที่เห็นได้ชัดและมีอยู่ทั่วโลก
พรวิช ให้ความเห็นกับสิ่งนี้ว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ความมียางอายของแต่ละบุคคล
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักธุรกิจฝ่ายเดียว เพราะตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังต้องทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน
ถ้าทั้งสองฝ่ายมีความรู้ผิดรู้ชอบก็จะไม่ทำในสิ่งผิดเพราะฉะนั้นอาจจะมีบ้างที่มองเป็นดำกับขาว
คือภาครัฐดี ภาคเอกชนไม่ดี เพราะมายื่นใต้โต๊ะให้ภาครัฐทำให้ภาครัฐไม่ดีไปด้วย
"ผมเชื่อว่าในที่สุดการขึ้นคืออยู่กับการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีในแต่ละบุคคล"
ปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่พรวิชเห็นว่ามีราชการหลายฝ่ายที่เห็นข้อบกพร่องเหล่านี้
และมีการร่วมมือกันแก้ไขให้ดี อย่างไรเสียในอนาคตเมื่อมีการตรวจสอบและแก้ไขเข้มงวดขึ้น
พวกความประพฤติมิชอบ ก็จะค่อย ๆ น้อยลงไป
แต่หากสมมุติว่าพรวิชมีอำนาจแก้ไขอะไรได้ในตอนนี้สิ่งแรกที่เขาจะแก้ไข
เขาบอกว่า เป็นเรื่องการปรับปรุง เรื่องการลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานต่าง
ๆ เพราะถ้าลดความซ้ำซ้อนของงานได้ ก็จะมีกำลังคนมากขึ้น ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะการที่มี 2 หน่วยงาน ทำหน้าที่คล้ายกันมาก เงินที่ลงทุนไปกับ 2 หน่วยงานที่ทำหน้าที่เหมือนกัน
ก็จะไม่คุ้มค่า แต่ถ้าลดได้นอกจาก เกิดประสิทธิภาพแล้ว ยังจะสามารถใช้เงินได้คุ้ม
และทำให้คนส่วนใหญ่มีเงินพอที่จะทำอย่างอื่นมากขึ้นด้วย
ข้อจำกัดอีกด้านของงานราชการก็คือ เรื่องเงินเดือน ซึ่งเป็นเหตุผลใหญ่ที่คนพูดถึงกันมาก
และเลือกที่จะไปทำงานในภาคเอกชนแทน
พรวิช กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ถ้าเงินเดือนข้าราชการใกล้กับเอกชนในระดับเดียวกัน
หรือน้อยกว่าสัก 10% ก็เชื่อว่าจะมีคนเก่ง ๆ เข้ามาในระบบราชการมากขึ้น
ตัวอย่างการแก้ปัญหาที่ดีในเรื่องนี้ จากที่อมเรศเคยเล่าให้พรวิชฟังว่าในประเทศสิงคโปร์
ระบบราชการจะสามารถเก็บคนเก่ง ๆ ไว้ได้มาก เพราะจะมีการย้อนดูเงินเดือนของข้าราชการในระดับเดียวกับเอกชนทุกปี
เพื่อดูว่ามีความแตกต่างกันมากเท่าไรถ้ามากรัฐบาลจะปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการทันที
แต่ไทยยังไม่สามารถทำได้ เพราะประเทศใหญ่กว่าสิงคโปร์ และยังไม่มีความมั่งคั่งเท่ากับสิงค์โปร์
ยิ่งเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยยิ่งเป็นเรื่องลำบากมากที่จะทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวพรวิช ถ้าเขาเป็นบุคคลที่เข้ามารับราชการ แล้วต้องสนับสนุนตัวเองในด้านการเงิน
เขาจะมารับราชการไหม ก็เป็นเรื่องที่เขาบอกว่าพูดยากเหมือนกันว่าจะรับราชการไหม
แต่สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ พรวิชยังได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากครอบครัว
ในด้านหนึ่งเขามองว่า แม้เงินเดือนภาคเอกชนจะมากกว่าราชการ ถึงเท่าตัว
หรือมากกว่า ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกไปทำงานกับภาคเอกชนที่หาได้ง่าย
และยิ่งถ้าบุคคล นั้นเป็นคนที่ต้องเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ก็ย่อมจะต้องเลือกทางเลือกให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุขสบายมากขึ้นไว้ก่อน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขายังเห็นว่ามีข้าราชการอีกจำนวนมาก ไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดีมาก
แต่ก็ยังพร้อมจะรับราชการ เพราะรัฐมีส่วนช่วยในเรื่องของสวัสดิการ ที่ช่วยเหลือไปถึงครอบครัวของผู้รับราชการได้
ถ้าคนไม่เคยรับราชการอาจจะมองไม่เห็นตรงจุดนี้
"ผมยังอยากเห็นคนเก่ง ๆ ดี ๆ มาทำงานราชการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องเลี้ยงตัวเอง
หรือมีครอบครัวสนับสนุนด้านการเงินอยู่ เพราะผมเชื่อว่าคนยังเห็นความสำคัญของงานราชการ"
ความสำคัญในสิ่งที่พรวิชพูดถึงก็คือ ความรู้สึกของการทำงานที่ได้ช่วยชาติ
คนที่รับราชการจะรู้สึกได้ถึงการช่วยชาติโดยตรง เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโดยตรง
และส่วนหนึ่งก็คือได้ความภาคภูมิใจ เพราะการเป็นข้าราชการก็คือการทำงานให้รัฐให้ชาติ
และพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าทำงานกับเอกชนความภูมิใจก็ต่างกัน คนทำงานบริษัทที่ทำให้บริษัทกำไรมากขึ้น
บริษัทก็ช่วยให้ประเทศโตขึ้นได้ประโยชน์เหมือนกัน ซึ่งพรวิชสรุปถึงผลการทำงานในตอนท้ายว่า
"ไม่ว่าจะทำงานภาครัฐหรือเอกชนผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ขั้นตอนต่าง ๆ
ก็เป็นทางตรง ทางอ้อม ผลลัพธ์ก็ต่างกันนิดหน่อย แต่ถ้าเราตั้งใจทำงาน ผลลัพธ์ไม่ต่างกันหรอกว่าเราทำงานที่ไหน"