|
หุ้นกลุ่มชินฯ ราคาขึ้นยกแผง
ผู้จัดการรายวัน(17 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นฟื้นหลังศาลฯมีคำสั่งไม่รับคำร้องของ 28 สว. หุ้นกลุ่มชินคอร์ปสุดคึกปรับขึ้นยกแผง เอสซี แอสเสทฯ จุดพลุราคาพุ่ง 22% "ก้องเกียรติ" ระบุกองทุนมะกันยังมั่นในตลาดหุ้นไทย มองดัชนีปีนี้ระดับ 800 จุด เผยหากนายกฯ จะประกาศยุบสภาในช่วงสถานการณ์สุกงอมจะดีที่สุด ด้านนายกสมาคมรายย่อยวอน ขณะที่นายกสมาคมโบรกเกอร์แนะซื้อหุ้นปันผลเหตุไม่หวั่นไหวกับปัจจัยระยะสั้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (16 ก.พ.) ดัชนีในช่วงเช้าแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ก่อนที่ปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเที่ยง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 28 คน โดยดัชนีปิดที่ 735.16 จุด เพิ่มขึ้น 9.43 จุด หรือ 1.30% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 737.07 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 723.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย21,310.61 ล้านบาท
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 951.62 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 115.02 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,066.63 ล้านบาท
ทั้งนี้ภายหลังคำประกาศของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลทำให้หุ้นในกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งประกอบด้วย หุ้นบมจ.ชิน คอร์ปเรชั่น หรือ SHIN ราคาปิดที่ 48 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 810.54 ล้านบาท, หุ้นบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสหรือ ADVANC ราคาปิด 98 บาทเพิ่มขึ้น 4 บาทหรือ 4.26% มูลค่าการซื้อขาย 493.56 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ชินแซทเทลไลท์ หรือ SATTEL ราคาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 188.85 ล้านบาท
หุ้นบมจ.ไอทีวี หรือ ITV ราคาปิดที่ 11.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.82% มูลค่าการซื้อขาย 104.35 ล้านบาท หุ้นบมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL ราคาปิดที่ 3.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 2.50% มูลค่าการซื้อขาย 13.64 ล้านบาท หุ้นบมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC ราคาปิดที่ 19.90 บาท เพิ่มขึ้น 3.60 บาท หรือ 22.09% มูลค่าการซื้อขาย 1,1418.28 ล้านบาท
นางสาวอรุณรัตน์ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด (มหาชน) กล่าววว่า การปรับขึ้นของหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้น โดยในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงกลุ่มนี้ก็จะปรับตัวลดลง ขณะที่เมื่อตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น หุ้นในกลุ่มดังกล่าวจึงปรับตัวขึ้นตาม
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มชินคอร์ปยังถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับสถานการณ์ทางด้านการเมือง เมื่อสถานการณ์บางอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นจึงส่งผลคต่อนข้างโดดเด่นกับราคาหุ้น
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์กล่าวว่า หุ้นบริษัทเอส ซี แอสเซ็ทราคาปรับตัวขึ้นมาแรงมาก และถือเป็นตัวจุดพลุให้หุ้นในกลุ่มชินตัวอื่นๆ ราคาปรับตัวขึ้นตาม โดยนักลงทุนได้เข้ามาเก็งกำไรในประเด็นเดิม โดยมองว่าบริษัทเอสซี แอสเซ็ทจะถูกดันให้เป็นโฮลดิ้ง คอมปานี ซึ่งจะทำให้บริษัทเอสซี แอสเซทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุน ไม่ใช่รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น
**ก้องเกียรติชี้กองทุนสหรัฐมั่นใจหุ้นไทย
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำฟ้องกรณีสมาชิกวุฒิสภา 28 คนยื่นหนังสือเพื่อให้วินิจฉัยความสามารถในการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี สะท้อนภาพในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ในระดับหนึ่ง แต่คงเป็นการปรับตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกองทุนขนาดใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนักลงทุนรายดังกล่าวค่อนข้างมีความมั่นใจที่จะเข้าลงทุนในระยะยาวกับตลาดหุ้นไทยและยังรวมไปถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่นักลงทุนในประเทศทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยซึ่งมีความใกล้ชิดข่าวสารกลับวิตกและกังวลกับข่าวสารที่เกิดขึ้นประเทศค่อนข้างมาก จึงเป็นกลับหลักที่มีการขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ประเด็นทางด้านการเมืองเรื่องการชุมนุมคัดค้าน เรื่องดังกล่าวคงไม่ส่งผลที่ชัดเจนต่อตลาดหุ้นเนื่องจาก 2 ครั้งที่เคยมีการชุมนุมที่ผ่านมาเหตุการณ์ต่างๆ ก็สงบดี จึงคาดว่าการชุมนุมอย่างเนื่องคงไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับตลาดหุ้นได้มากในส่วนเรื่องกระแสการยุบสภา เรื่องดังกล่าวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นหากสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในขั้นสุกงอมหรือมีการปรับตัวลดลงของดัชนีค่อนข้างมากจากปัจจัยทางการเมืองซึ่งเมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้วเกิดเหตุการณ์รัฐบาลประกาศยุบสภาก็น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ของบล.เอเชียพลัสยังคงเป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ 800 จุด เนื่องจากมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีความแข็งแกร่ง
"นักลงทุนต่างชาติเค้ายังเชื่อแม้ว่าจะมีการยุบสภาแต่รัฐบาลชุดเดิมก็จะกลับเข้ามาอยู่ดี แต่คะแนนเสียงอาจจะน้อยลงไปบ้าง" นายก้องเกียรติกล่าว
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคลายความกังวลกลังศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยรับคำฟ้อง เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องนักลงทุนค่อนข้างให้ความสนใจค่อนข้างมาก แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนจะต้องติดตามคือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติสนใจ
ทั้งนี้ ในแต่ละวันมีปัจจัยอื่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องภายในประเทศการชุมนุมคัดค้าน และปัจจัยจากต่างประเทศ แต่ในทางที่ดีประเทศเรายังเป็นประชาธิปไตยให้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและทุกอย่างก็มีระบบการตรวจสอบตามกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจน
"ปัจจุบันราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยยังต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เนื่องจากนักลงทุนกังวลประเด็นทางการเมือง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะกลับสู่ภาวะปกติ นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจประเด็นทางการเมือง หากทุกอย่างเป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย และอยู่ในกรอบเค้าก็สบายใจ เพราะเป็นสัญญาณที่ดีว่าสังคมเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น"นายกิตติรัตน์กล่าว
**กัมปนาทแนะซื้อหุ้นปันผล
นายกัมปนาท โลหเจริญวณิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์ในประเทศยังเป็นปัจจัยที่กระทบต่อตลาดหุ้น นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผล เพราะหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะไม่หวั่นไหวกับสภาวะเศรษฐกิจรวมถึงการเมือง
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่รับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่าน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น โดยเห็นได้จากดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 จุด อย่างไรก็ตามนักลงทุนคงต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
**วิชัยหวังก.พ.สถานการณ์ชัดเจน
นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า แม้ว่าจะเรื่องการรับคำฟ้องของสว.จะมียุติในเบื้องต้นแต่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นยังคงเกิดขึ้นต่อไป เนื่องจากการตรวจสอบในเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องรวมถึงเอกสารทางด้านเอกสารยังมีการถูกเปิดเผยมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องดังกล่าวจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในทางที่ดีกระบวนการในการตรวจสอบหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องน่าจะทำให้เสร็จและได้ข้อภายในเดือน ก.พ. นี้
ทั้งนี้ ในเรื่องการยุบสภาหรือการประกาศลาออกของนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญอยากให้มีการองค์กรหรือหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วนเรียบร้อย
"อยากให้ความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้นทางการเมืองหมดสิ้นภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากไม่สามารถทำให้หายไปได้ 100% อยากให้ลดลง 60-70% ขึ้นไป เพราะความไม่ชัดเจนดังกล่าวจะกระทบการลงทุนของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติซึ่งอาจจะส่งผลต่อการลงทุนในเมกะโปรเจ็ก ที่มีผลต่อการขยายตัวต่อเศรษฐกิจของประเทศ" นายวิชัยกล่าว
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน กล่าวว่า แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นจะตกต่ำลงเนื่องจากปัจจัยทางการเมือง แต่คาดว่าเรื่องดังกล่าวคงจะส่งผลต่อจิตวิทยานักลงทุนช่วงสั้นๆ เท่านั้น เมื่อทุกอย่างคลี่คลายตลาดหุ้นก็จะกลับไปสู่ภาวะปกติ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|