|
กสิกรฯเผยตลาดตราสารหนี้คึกคาดเอกชนระดมทุน2แสนล้าน
ผู้จัดการรายวัน(15 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
กสิกรไทยระบุตลาดตราสารหนี้ปีนี้เริ่มคึก หลังดอกเบี้ยทรงตัว เฟดปรับขึ้นล็อตสุดท้ายอีก 0.5% และธปท.ปรับดอกเบี้ยนโยบาย 0.5-0.75 % ทั้งปีเชื่อเอกชนออกตราสารระดมทุนประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท เผยขาประจำ ปูนใหญ่ ปตท. การบินไทย ครองตลาดมาเก็ตแชร์ระดมทุนกว่า 60 % ที่เหลือเป็นคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ 15-20 % กสิกรไทย มั่นใจรักษาแชมป์และมาเก็ตแชร์อันดับหนึ่งในการเป็นที่ปรึกษาและอันเดอร์ไรท์
นายปิติ ตัณฑเกษม ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดตราสารหนี้ในปี 2549 มีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มคงที่ หลังจากที่ คาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในระดับ 0.25% หลังจากนั้นจะทรงตัวหรือลดลง
ขณะที่คณะกรรมการกำกับนโยบายเศรษฐกิจ(กนง.)ก็จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเฟดอีก 0.25-0.75% หลังนั้นก็น่าจะทรงตัวเช่นกัน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้การระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ น่าจะกลับมาคึกคัก โดยคาดว่ามูลค่าภาคเอกชนจะมีการออกตราสารหนี้ในระดับ 150,000-200,000 ล้านบาท ซึ่งจากขณะนี้มียอดการออกตราสารเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้ที่ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่ก็จะมีรายใหญ่ที่ออกตราสารหนี้อยู่สม่ำเสมอ เช่น บ.การบินไทย ปตท. และบ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะออกครั้งละกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะมีบริษัทขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะออกตราสารในปีนี้หลังจากที่ตราสารหนี้ชุดเก่าครบกำหนด เช่น AIS ซึ่งในปีนี้จะมีการออกตราสารที่ครบกำหนดจำนวน 50,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงจะมีการออกตราสารทดแทนบางส่วน และจะส่งผลให้ตลาดตราสารคึกคักขึ้นได้
นายปิติกล่าวอีกว่า ในปีนี้ธนาคารก็ให้ความสนใจกับตลาดตราสารหนี้มาก โดยมองว่าผู้นำตลาดในการออกตราสาร ก็คงจะเป็นขาประจำของรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนการออกในระดับ 60%ของตลาดรวม หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 4-5 หมื่นล้าน
นอกจากนี้ก็จะเป็นนกลุ่ม consumer finance อาทิ จีอี มันนี่ หรือ อิออน ซึ่งจะออกตราสารเพื่อการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 10-15% และส่วนที่เหลือก็จะธุรกิจอื่น อาทิ ลิสซิ่งโดยธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าที่จะมีมาร์เก็ตแชร์ในการรับเป็นที่ปรึกษาในออกและจำหน่ายตราสารหนี้ในระดับ 15-25% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 15-16% ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐธนาคารมีมาเก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 และในส่วนของภาคเอกชนมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 3 ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับมาเก็ตแชร์ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้เนื่องจากธนาคารมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และมีระบบไอทีที่จะรองรับงานส่วนนี้ได้ และธนาคารยังมีเครือข่ายช่องทางในการจำหน่าย ที่จะกระจายให้รายย่อยมากที่สุด
สำหรับการระดมเพื่อรองรับเมกะโปรเจ็ตค์นั้น ธนาคารมองว่ายังไม่น่าที่จะเร่งระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของตราสารหนี้ หรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินโดยตรง คาดว่าน่าจะเห็นความเคลื่อนไหวในการระดมทุนในปีหน้า เนื่องจาก จะต้องมีการดำเนินในขั้นตอนของโครงการที่ชัดเจน หลังจากนั้นจะมีการทำแผนทั้งแผนการเงินและตัวโครงการ ซึ่งต้องใช้เวลา 6-12 เดือนหลังจากการประมูลโครงการ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการออกตราสารถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีของการที่เข้มมระดมทุนในรูปแบบตาสารหนี้ เพราะการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยถือว่าน้อยมาก หรือคงที่แล้ว ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีในช่วงนี้ โดยในช่วงนี้ตราสารที่ออกมาส่วนใหญ่จะมีระยะเวลา 2 ช่วง คือ ตราสารอายุ 3 ปี ซึ่งความต้องการจากผู้ซื้อมาก
ขณะที่ผู้ต้องการตราสารก็สามารถได้ในผลตอบแทนที่ตรงกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของผู้ออมรายย่อยที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ และความเสี่ยงต่ำ อีกช่วงเวลา จะเป็นตราสารระยะยาว 7-10 ปี ซึ่งเป็นตราสารของกลุ่มบ.ประกันที่มีภาระผูกพันในการออกนาน และต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำ 5%ขึ้นไป ซึ่งในส่วนนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาเป็นจำนวนมาก
นายปิติ กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าตราสารที่ออกปัจจุบันเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น และระยะยาว จะขาดตราสารช่วงระยะเวลาปานกลางไป เนื่องจากผู้ออกรอดูทิศทางของอัตราดอกเบี้ย คาดว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดนิ่ง ก็จะมีการออกตราสารในระยะเวลาต่างๆตามปกติ อย่างไรก็ตาม ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยระยะปานกลางกับระยะยาวในขณะนี้ ถือว่าเป็นระดับที่สะท้อนความเป็นจริงระดับหนึ่งแต่ระยะ 1-2 ปียังไม่สะท้อนความเป็นจริงมากนัก
โดยจะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยของตราสารช่วงสั้นยังคงมีความผันผวนอยู่ ในส่วนของตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ( ไฮบริส ) ทางธนาคารไม่มีความจำเป็นจะต้องออกไฮบริสเพื่อระดมทุนในขณะนี้ ส่วนหากจะมีการออกนั้นก็จะต้องคำนึงถึงการจัดอันดับ ( เรตติ้ง ) และการพิจารณาว่าดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งการจะออกไฮบริสจะต้องไม่เกิน 15% ของเงินสำรองกองทุนขั้นที่1 โดยเชื่อว่าทางทหารไทยน่าจะมีการตราสารหนี้ขายตลาดต่างประเทศแน่นอน
สภาพคล่องตึงตัวช่วงกลางปี
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันว่าน่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางปีนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25-0.50% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75-1.00% ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในประเทศกับต่างประเทศแคบลงปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศอยู่ที่ 0.50% และมีโอกาสที่จะแคบลงจนกระทั่งเป็น 0% ได้ หากสภาพคล่องในระบบลดลงมากจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีการระดมทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เพราะการกู้เงินจากต่างประเทศจะถูกกว่าการกู้เงินจากในประเทศ
“ปัจจุบันการกู้เงินในประเทศจะถูกกว่าต่างประเทศ 0.50% แต่ส่วนต่างจะแคบลง เพราะสภาพคล่องที่ลดลงจากเมกะโปรเจ็ก การขาดดุลการค้า และการออกพันธบัตรของรัฐบาลซึ่งแบงก์ก็แนะให้ลูกค้าเฝ้าติดตามช่องทางการระดมทุนที่ถูกที่สุด โดยถ้าเป็นไปได้ในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้าการกู้เงินนอกประเทศจะถูกกว่าในประเทศ” นายบุญทักษ์กล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|