ที่จริงแล้ว วรัดดา หลีอาภรณ์ จะต้องทำงานเป็นฮาร์ดแวร์เอ็นจิเนียร์ในหน่วยงานวิจัยสักแห่ง
หลังจากคว้าใบปริญญาตรีทางด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ
แทนที่เธอจะต้องคลุกอยู่กับศาสตร์ของการคำนวณ เธอกลับต้องมาใช้ชีวิตในสายวิชาชีพสื่อสารมวลชนที่ไม่เคยอยู่ในตำราก่อนถึง
7 ปีเต็ม
วันนี้เธอนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทแอลเวฟในเครือล็อกซเล่ย์
ที่ทำธุรกิจผลิตรายการป้อนให้กับสื่อต่าง ๆ ทั้งทีวี วิทยุ และมัลติมีเดีย
อันเป็นธุรกิจแนวใหม่ของล็อกซเล่ย์
ที่จริงแล้ว การเข้าสู่แวดวงอาชีพสื่อมวลชนของวรัดดาเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญทั้งสิ้น
งานแรกของเธอคือ ผู้ช่วยผู้กำกับให้เชิด ทรงศรี สร้างหนังเรื่องทวิภพ ซึ่งเธอได้งานนี้มาระหว่างรอเตรียมตัวไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์
เมื่อมีก้าวแรก ก้าวที่สองที่สามก็ตามมา เมื่อเธอได้งานใหม่ในแปซิฟิก คอมมิวนิเคชั่น
ซึ่งทำให้วรัดดาเข้ามาอยู่ในวิชาชีพของสื่อสารมวลชนอย่างเต็มตัว เริ่มตั้งแต่การเป็นนักข่าว
ต้องเข้าห้องตัดต่อ จนมาถึงการเป็นหนึ่งในทีมผลิตรายการสารคดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เธอใช้ชีวิตในแปซิฟิก 2-3 ปีก็ต้องลาออกไปเพื่อใช้ชีวิตครอบครัวระยะหนึ่ง
ในที่สุดเธอก็ต้องหวนกลับมาสู่วิชาชีพนี้อีกครั้ง เมื่อได้รับการชักชวนจากธงชัย
ล่ำซ่ำให้เข้ามาร่วมงานในล็อกซเล่ย์
ช่วงเวลานั้นล็อกซเล่ย์ต้องการขยายบทบาทของตัวเองจากผู้ค้าอุปกรณ์เครื่องส่งทีวี
ไปสู่ธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ ซึ่งล็อกซเล่ย์เพิ่งจะร่วมทุนกับบริษัทวีดีโอโพสต์ของฮ่องกงมาหมาด
ๆ เพื่อจัดตั้งบริษัทล็อกซเล่ย์วีดีโอโพสต์ทำธุรกิจรับตัดต่อภาพยนต์โฆษณา
พร้อมกับแผนกผลิตรายการโทรทัศน์ขึ้นในล็อกซเล่ย์
เนื่องจากในช่วงปี 2536 ธุรกิจทางด้านบรอดคาสติ้งกำลังแรง บริษัทโทรคมนาคมหลายราย
เริ่มขยับขยายไปยังธุรกิจทางด้านนี้ มีการขอสัมปทานให้บริการเคเบิลทีวีกันอย่างมากมายรวมการเกิดของทีวีเสรีด้วย
แต่ล็อกซเล่ย์นั้นกลับมองว่าการเป็นผู้ให้บริการ (โอเปอเรเตอร์) นั้นมีความเสี่ยงสูงกว่า
เพราะลงทุนและการแข่งขันก็รุนแรง สู้ทำธุรกิจผลิตรายการป้อนให้กับทีวีและเคเบิลทีวีน่าจะไปได้ดีกว่า
การมาร่วมงานในล็อกซเล่ย์ในครั้งนั้น จึงเท่ากับเป็นการบุกเบิกธุรกิจทางด้านนี้ให้กับล็อกซเล่ย์
ซึ่งเธอต้องเข้าไปช่วยงานทั้งในล็อกซเล่ย์วีดีโอโพสต์ ควบคู่ไปกับการเข้าไปรับผิดชอบแผนกผลิตรายการโทรทัศน์
ผลงานชิ้นแรกของเธอ คือ รายการรักเรารักษ์โลกซึ่งเป็นรายการสารคดีทางโทรทัศน์
ที่มีบริษัทเอ็มเอ็มซีสิทธิผลเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ จากนั้นก็ขยายงานผลิตรายการป้อนทั้งทีวี
วิทยุ และวิดีโอ ซึ่งต่อมาเมื่อกิจการขยายมากขึ้น ล็อกซเล่ย์จึงตัดสินใจจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
แอลเวฟ ขึ้น
ลักษณะธุรกิจของแอลเวฟนั้นจะเรียกได้ว่าแตกต่างจากธุรกิจของล็อกซเล่ย์ที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การทำงาน เวลาทำงาน ที่ค่อนข้างจะเป็นอิสระ
"พนักงานของเราจะเป็นอีกสไตล์ การแต่งตัวก็จะใส่กางเกงยีนส์ มาทำงานตอนดึก
ๆ ช่วงแรก ๆ ยามไม่ยอมให้เข้าออฟฟิศ ลูกน้องในแผนกต้องโทรไปหาที่บ้าน"
วรัดดาเล่าอย่างสนุกสนานเมื่อย้อนไปถึงการทำงานในช่วงแรก ๆ
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อล็อกซเล่ย์ย้ายจากสำนักงานเดิมริมถนนเสือป่าเข้าสำนักงานใหญ่แห่งใหม่
แอลเวฟจึงแยกตัวออกมาอยู่ต่างหาก ในย่านบันเทิงอาร์ซีเอ บนถนนพระราม 9 แทนที่จะย้ายเข้าสำนักงานใหญ่เหมือน
บริษัทอื่น ๆ
ปัจจุบัน แอลเวฟมีรายการที่ผลิตป้อนสื่อทีวีผ่านหูผ่านตาไปแล้วหลายรายการ
นิทานฝันดี รักสุขภาพ มอเตอร์เวฟ เมกะเวฟ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายการสารคดีกึ่งบันเทิง
และวาไรตี้และรายการวิทยุช่วงสั้น ๆ ในแนวสารคดี
นอกเหนือจากทีมงานผลิตราย การโทรทัศน์ และวิทยุ ซึ่งล่าสุดแอล เวฟเพิ่มทีมงาน
"มัลติมีเดีย" ซึ่งเป็นทีมงานใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับงานผลิตสื่อมัลติมีเดีย
อาทิ งานด้านกราฟิกดีไซน์ ซีดีรอม และอินเตอร์เน็ต
วรัดดา มองว่า ล็อกซเล่ย์มีความรู้ในเรื่องมัลติมีเดียพร้อมแล้ว มีบริษัทล็อกซอินโฟร์
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต มีสายงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยในเรื่องเทคนิคเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
กระนั้นก็ตามในแง่ของธุรกิจสื่อแล้ว วรัดดายอมรับว่าสื่อมัลติมีเดียนับว่าเป็นธุรกิจแขนงใหม่มาก
ผลได้ในเชิงธุรกิจยังไม่ชัดเจนนัก แต่เธอมองในวันข้างหน้า
ที่สำคัญ เธอมองว่า แอลเวฟต้องวิ่งให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีไปเร็วมาก
อีกไม่นานคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมและมีเดียจะต้องมารวมกันอย่างแยกไม่ออก
"ผลในเชิงธุรกิจเรายังมองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่เราก็ต้องวิ่งให้ทันกับเทคโนโลยีในอนาคต
เพราะมันเปลี่ยนเร็วมาก เรายังไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน เราไม่อยากตกข่าว"
วรัดดาชี้แจง
ธุรกิจผลิตรายการผ่านสื่อมัลติมีเดียของแอลเวฟเริ่มต้นด้วยการรับทำโฮมเพจให้กับบริษัทล็อกเล่ย์และในเครือ
รวมทั้งการผลิตรายการลิตเติ้ลไทยแลนด์ ลงในเว็บไซต์ "ล็อกซอินโฟร์อินเตอร์คาสต์"
ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมรายการด้านบรอดคาสติ้งของเมืองไทยให้กับคนไทยในต่างประเทศ
การผลิตรายการลิตเติ้ลไทยแลนด์ ถือว่าเป็นโครงการนำร่องของการพัฒนาสื่อบนอินเตอร์เน็ต
ซึ่งหากไปได้ดี ก็อาจจะมีธุรกิจที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายแห่งนี้แถมพ่วงมาด้วย
"ลิตเติ้ลไทยแลนด์ จะมีไอเดียต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากไปได้ดี ต่อไปเราก็อาจจะเปิดร้านค้าในนั้นด้วนสำหรับไว้เป็นชอปปิ้งมอลล์บนอินเตอร์เน็ต
ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำรายได้เข้ามาเสริม"
ปัจจุบัน แอลเวฟทำรายได้ให้ปีละ 40 ล้านบาท พร้อมกับผลงานในการผลิตรายการ
5-6 รายการป้อนสื่อต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับบริษัทในเครือของล็อกซเล่ย์ แต่สำหรับบริษัทตั้งใหม่ในสายมีเดียแล้วก็นับว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย
เป้าหมายของแอลเวฟในวันข้างหน้า วรัดดา กล่าวว่า เธอไม่คิดว่าแอลเวฟจะเป็นคู่แข่งกับใคร
ไม่ว่าแกรมมี่ หรือ เนชั่น ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ เพราะสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร
เธอหวังไว้ว่า แอลเวฟจะเป็นแหล่งผลิตงานสำหรับคนรุ่นใหม่สามารถวิ่งได้ทันเท่านั้นก็พอ