|
ที่ดินเมืองพัทยาราคาพุ่งกว่า70% ทุนใหญ่บุกยึดผุดโรงแรม-ห้างฯ
ผู้จัดการรายสัปดาห์(13 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ราคาที่ดินเมืองพัทยาพุ่งสวนกระแสเศรษฐกิจเริ่มนิ่ง กว่า 70% รับทุนไทย-ต่างชาติ ทั้งท้องถิ่น และส่วนกลาง ที่ขนเงินเข้ากว้านซื้อผุดโครงการที่อยู่อาศัย-ห้างสรรพสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง "เซ็นทรัลพัฒนา" ที่ขายที่ดินแปลงใหญ่ติดทะเลมูลค่ากว่า 700 ล้านให้นักลงทุนท้องถิ่นสร้างโรงแรมขนาด 1,200 ห้อง และโยกเงินไปซื้อที่ดินผืนใหญ่ตรงข้ามสภ.ต.พัทยา ขึ้นห้างฯยักษ์ครบวงจร ขณะทุนท้องถิ่น"กลุ่มไมค์ชอปปิ้งมอลล์"ไม่น้อยหน้า ซื้อที่ดินจากกรมบังคับคดี ผุดโรงแรมรับท่องเที่ยวและการเข้าพัก รองรับสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้
นายสุรัตน์ เมฆะวรากุล ประธานกรรมการบริหารห้างสรรพสินค้าไมค์ ชอปปิ้งมอลล์ พัทยาและผู้บริหารโรงแรมในเครือไมค์ 4 แห่ง เผยถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการซื้อ-ขายที่ดินในเมืองพัทยานับจากปี 2548จนถึงปัจจุบันว่า แม้ว่าการซื้อ-ขายที่ดินโดยรวมของจ.ชลบุรี มีแนวโน้มจะชะลอตัวลง แต่เมืองพัทยายังมีการเคลื่อนไหว เช่น เดียวกับเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งของประเทศ ที่มีการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโรงแรม รับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ทั้งนี้ ราคาซื้อ-ขายที่ดินในเมืองพัทยา ปัจจุบันเฉพาะพื้นที่ไม่ติดทะเลขณะนี้ขยับตัวแล้วไม่น้อยกว่า 70% (ราคาประเมินเบื้องต้น ที่ดินไม่ติดทะเลในเขตอ.บางละมุง อยู่ที่ตารางวาละ 1 แสนบาท) ส่วนที่ดินติดชายทะเลโตถึง 100% (ราคาปัจจุบันยังประเมินไม่ได้)
การซื้อขายที่ดินส่วนใหญ่ในเมืองพัทยา ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเก็งกำไรเช่นในอดีต แต่เป็นการซื้อ-ขายเพื่อขึ้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยนักลงทุนต่างชาติ ทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีการลงทุนทั้งในกลุ่มนักลงทุนท้องถิ่นและส่วนกลาง
อาทิ เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ได้ขายที่ดินแปลงใหญ่ติดกับโรงแรมทรอปิคคาน่าให้กับนายสุวัจชัย อัญชลีวิวัฒน์ ราชาที่ดินรายใหญ่และเจ้าของโรงแรมลอง บีช พัทยา มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท โดยนายสุวัจชัย ได้เตรียมพัฒนาที่ดินผืนนี้สำหรับก่อสร้างโรงแรมขนาด 1,200 ห้อง ขณะเดียวกันยังเตรียมที่ดินอีกผืนเพื่อผุดโรงแรมแห่งใหม่ขนาด 700 ห้องอีกด้วย
ในช่วง 2 ปีก่อนนายสุวัจชัย อัญชลีวิวัฒน์ ได้ขายโรงแรมการ์เด้นบีช รีสอร์ต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณซอยวงศ์อำมาตย์ ถนนพัทยา-นาเกลือ ให้กลุ่มุไพโอเนียร์ ฮ็อสพิทัลลิทิ สยาม (จีบีอาร์) จำกัด นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากการร่วมทุน ระหว่างนักธุรกิจจากประเทศฮ่องกงและประเทศไทยมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโรงแรมไอศวรรย์ รีสอร์ท แอนด์สปา ที่มีจุดขายที่ความเป็นชายหาดส่วนตัว
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา หลังขายที่ดินให้แก่นายสุวัจชัย ได้กว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรตำบลพัทยา(สภ.ต.พัทยา)เพื่อก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2548 ได้ทุบโรงแรมเซ็นทรัลวงศ์อำมาตย์ เพื่อขึ้นโรงแรมขนาด 5 ดาวที่พร้อมจะเปิดให้บริการในปี 2550
"ในปีนี้เม็ดเงินเกี่ยวกับการซื้อ-ขายที่ดินจะสะพัดในเมืองพัทยาอีกมาก เพราะโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่จะเกิดใหม่มีอีกเยอะ ตอนนี้ราคาขายพื้นที่ของคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่เมืองพัทยา คือ มีราคาขายสูงสุดที่ตารางเมตรละ 6 หมื่นบาท เปรียบเทียบกับราคาขายสูงสุดในช่วงก่อนยุคฟองสบู่แตก ที่มีราคาขายสูงสุดเพียง 7.5 พันบาทต่อตารางเมตร "
นายสุรัตน์ ยังเผยถึงการเข้ามาของกลุ่มทุนต่างชาติ ในเมืองพัทยาว่า ขณะนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปิดเสรีให้ต่างชาติมีสิทธิ์ถือหุ้นเพิ่มถึง 40% ทำให้ต่างชาติหันมาซื้อที่ดินในเมืองพัทยาเพื่อก่อสร้างที่พักอาศัยขายให้กับชาวต่างชาติด้วยกัน ในลักษณะการร่วมทุนกับคนไทย ซึ่งกลุ่มชาวต่างชาติถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากที่สุด
ทั้งนี้การเติบโตทางการลงทุนของเมืองพัทยา คาดว่าจะอยู่ได้อีกประมาณ 5 ปี เพราะขณะนี้ที่ดินสำหรับการก่อสร้างในเมืองพัทยาเริ่มหมดแล้ว และหลังจากนี้ไปเมืองพัทยา จะกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ เพราะสาธารณูปโภคต่างๆ โตไม่ทันรองรับการเกิดขึ้นของโครงการจำนวนมาก
"การเข้ามาของทุนส่วนกลางและทุนต่างชาติ เป็นการเข้ามาลงทุนเพื่อขึ้นโครงการใหญ่ๆ ในส่วนของกลุ่มไมค์เอง เราก็ซื้อที่ดินในส่วนของกรมบังคับคดีไว้ เพื่อก่อสร้างโรงแรมขนาดกลาง รองรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง ที่จะมาพร้อมการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทุนทั้งส่วนกลางและต่างชาติ เข้ามาในพัทยาเยอะ ก็เพราะเขาเห็นถึงการเติบโตของเมืองที่จะมาพร้อมกับสนามบิน ก็เลยเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ไว้ก่อน"
สำหรับ การอยู่รอดของกลุ่มทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนท้องถิ่นในพัทยาขณะนี้ อาจได้รับผลกระทบจากการเข้ามาแชร์ตลาดของทุนต่างถิ่นไม่มากก็น้อย ทางรอดที่ดีคือการมองเป้าหมายใหม่ทางการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลือกลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก
กลุ่มซันไชน์ กรุ๊ป ของตระกูลศุภรสหัสรังษี เป็นอีกกลุ่มทุนท้องถิ่น ที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง และได้ทุ่มงบประมาณปรับปรุงโรงแรม ในเครืออย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการแข่งขันในธุรกิจโรงแรม ที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ล่าสุดทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่ปรับปรุงโรงแรมโลมา รีสอร์ต ให้กลายเป็นรีสอร์ตกึ่งสปา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มรักษ์สุขภาพ และกรุ๊ปนักบินและพนักงานบริการบนเครื่องบินของสายการบินต่างชาติ ที่ขณะนี้เริ่มเลือกโรงแรมในเมืองพัทยาเป็นจุดพักการเดินทาง แทนโรงแรมในกรุงเทพฯแล้ว ขณะเดียวกันทุนกลุ่มนี้ยังกว้านซื้อที่ดินในหลายพื้นที่ เพื่อเก็บสำหรับพัฒนาและลงทุนต่อๆ ไปอีกด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|