"สามารถฯ หนีห่างอย่างเหนือชั้น สู่ยุคอินเตอร์"

โดย ฐิติเมธ โภคชัย
นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

กลุ่มสามารถฯ นำโดยธวัชชัย วิไลลักษณ์ ยอมตัดใจขายหุ้นในสามารถ คอร์ปอเรชั่น 20.12% และบริษัทในเครือฯ อีก 33.33% ให้กับกลุ่มเทเลคอม มาเลเซียฯ เพื่อร่วมพัฒนาธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม หวังได้ความเชี่ยวชาญจากพันธมิตรเพื่อปูทางก้าวไปสู่การเป็นบริษัทอินเตอร์ ด้านเทเลคอม มาเลเซียฯ หวังศักยภาพบุคลากรด้านมัลลิมีเดียของกลุ่มสามารถฯ สร้างโครงการ MSC

ในปี 2535-2538 นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มธุรกิจที่มาแรงที่สุดคือกลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม (Communication) สังเกตได้จากผลประกอบการของแต่ละบริษัทของกลุ่มธุรกิจสื่อสารเติบโตขึ้นอย่างมาก เช่น บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JASMIN) มีกำไรสุทธิปี 2535-2538 จำนวน 153.01 ล้านบาท, 183.94 ล้านบาท, 601.36 ล้านบาท และ 1,369.05 ล้านบาท ตามลำดับ

บมจ. ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น (UCOM) มีกำไรสุทธิปี 2535-2538 จำนวน 223.58 ล้านบาท, 712.62 ล้านบาท, 2,001.37 ล้านบาท และ 2,801.78 ล้านบาท ตามลำดับ

บมจ. เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น (TA) มีกำไร (ขาดทุน) สุทธิปี 2535-2538 จำนวน (41.06 ล้านบาท), 564.71 ล้านบาท, 638.61 ล้านบาท และ 1,290.70 ล้านบาท ตามลำดับ

บมจ. ไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น (TT&T) มีกำไร (ขาดทุน) สุทธิปี 2536-2538 จำนวน (166.53 ล้านบาท), 190.35 ล้านบาท และ 830.51 ล้านบาท ตามลำดับ

บมจ. ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น (SHIN) มีกำไรสุทธิปี 2535-2538 จำนวน 511.50 ล้านบาท, 1,472.07 ล้านบาท, 2,765.38 ล้านบาท และ 3,295.93 ล้านบาท ตามลำดับ และ บมจ. สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) มีกำไรสุทธิปี 2535-2538 จำนวน 80.24 ล้านบาท, 103.89 ล้านบาท, 283.73 ล้านบาท และ 474.79 ล้านบาท ตามลำดับ

แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมเริ่มเข้าสู่ช่วงชะลอตัวดูได้จากผลประกอบการปี 2539 เริ่มลดลง อย่าง JASMIN มีกำไรสุทธิ 947.10 ล้านบาท UCOM มีกำไรสุทธิ 2,406.94 ล้านบาท TT&T กำไรสุทธิ 424.22 ล้านบาท SHIN กำไรสุทธิ 2,631.36 ล้านบาท ส่วน SAMART กำไรเพิ่มขึ้นโดยมีกำไรสุทธิ 499.98 ล้านบาท ในขณะที่ TA ขาดทุนสุทธิ 1,924.12 ล้านบาท

จังหวะเวลานี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากในปี 2543 ธุรกิจสื่อสารจะเข้าสู่ธุรกิจไร้พรมแดน คือ การเปิดเสรีทางธุรกิจ ซึ่งแข่งขันนับวันจะรุนแรงมากขึ้น โอกาสที่บริษัทเหล่านี้จะเห็นกำไรงาม ๆ เหมือนอดีตคงจะลำบากและการบริหารงานนับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่งาย เพราะธุรกิจนี้หมดยุคผูกขาดแล้ว

ดังนั้นความอยู่รอดของแต่ละบริษัทจึงขึ้นอยู่กับว่าใครมองการณ์ไกลมากกว่ากัน และในขณะนี้บริษัทต่าง ๆ เหล่านี้เริ่มขยับตัวกันบ้างแล้ว และบริษัทเด่นที่สุดในกลุ่มธุรกิจสื่อสารสำหรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับกับยุคไร้พรมแดน คือกลุ่มสามารถฯ เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มนี้ได้ดึงมืออาชีพ เข้ามาร่วมเสริมเขี้ยวเล็บมากพอสมควร โดยเฉพาะชาญชัย จารุวัสตร์ โดยดึงมาจากไอบีเอ็ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เข้ามาสานต่อธุรกิจของกลุ่มสามารถฯ ได้อย่างเหมาะสมเพราะจากองค์ประกอบของกลุ่มสามารถที่จะรองรับกับการแข่งขันในอนาคต เช่นนำผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายต่างประเทศ การได้รับสัมปทานในโครงการจากรัฐบาล เช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) หรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.)

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปรับทิศทางการบริหารงาน โดยมุ่งเน้นทำธุรกิจเพื่อรองรับวิถีโลกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการผนวกของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมและมัลติมีเดีย ที่เรียกว่า ECS (Electronic Commerce Solution) และที่สำคัญการเป็นผู้ให้บริการ (Service Provider) ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ Digital PCN 1800 และกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการ (Operator) ระบบ PCN รายที่ 3 อันเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มสามารถฯ

"แต่องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จที่วางไว้ได้เร็วขึ้น คือ การสร้างพันธมิตรหรือร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ในแนวทางเดียวกัน" ชาญชัย จารุวัสตร์กรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของกลุ่มสามารถฯ ในการก้าวเข้าสู่ยุคการแข่งขันเสรี


ดึงเทเลคอม มาเลเซียฯ ร่วมทุน

จากความตั้งใจของกลุ่มสามารถฯ ในการก้าวเข้าสู่การแข่งขันยุคเสรี ตอนนี้เริ่มปรากฎเด่นชัดขึ้นมาแล้ว ล่าสุดกลุ่มสามารถฯ ได้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมของมาเลเซียอย่าง บริษัท เทเลคอมมาเลเซีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Telekom Malasia International : TMI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเทเลคอม มาเลเซีย เบอร์ฮัด (Telekom Malasia Berhad : TMB) ที่ได้ตัดสินใจซื้อหุ้นของกลุ่มสามารถฯ

โดยจะเข้าไปถือหุ้นในสามารถ คอร์ปอเรชั่น จำนวน 20.12% คิดเป็นจำนวนหุ้น 14 ล้านหุ้นของทุนจดทะเบียน เรื่องนี้ชาญชัยได้เล่าว่าหุ้นดังกล่าวที่ทางเทเลคอม มาเลเเซียฯ เข้ามาถือนั้นจะซื้อจากกลุ่มวิไลลักษณ์ทั้งหมดในราคาหุ้นละ 133 บาท คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,862 ล้านบาท และเทเลคอม มาเลเซียฯ ยังได้เข้าถือหุ้นในบริษัท ดิจิตอลโฟน (DPC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของสามารถฯ โดยจะเข้ามาลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนในสัดส่วน 33.33% ของทุนจดทะเบียน 296.38 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินลงทุน 135 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,510 ล้านบาท

เมื่อเทเลคอม มาเลเซียฯ เข้ามาถือหุ้นใน DPC แล้วจะทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไปจากเดิมที่สามารถฯ ถือ 88.90%, บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (TAC) ถือ 10% และ กสท. ถือ 1.10% จะเปลี่ยนเป็นสามารถฯ, TMI, TAC และ กสท. ถือ 59.27%, 33.33%, 6.67% และ 0.73% ตามลำดับ

การตัดสินใจขายหุ้นให้กับเทเลคอม มาเลเซียฯ เกิดจากแนวความคิดของกลุ่มสามารถฯ เองที่ต้องการเป็นผู้นำด้าน ECS ซึ่งความคิดนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2538 แต่ทำอย่างไรถึงจะเป็นผู้นำในด้านนี้ได้ เพราะถ้าศักยภาพไม่เพียงพอโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้าน ECS คงจะลำบาก

"นับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมาเราจึงได้เริ่มออกไปหาพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อให้เขาเข้ามาร่วมทำงานกับเราทั้งในอเมริกาและยุโรป เพราะเรายังเป็นองค์กรที่เล็กจะไปเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมระดับประเทศและระดับภูมิภาคได้อย่างไร เพราะเราขาดทั้งเทคโนโลยี, เงินลงทุนและการขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศ. ชาญชัยกล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"

และสาเหตุที่กลุ่มสามารถฯ เลือกเทเลคอม มาเลเซียฯ เพราะว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีปัจจัยทั้ง 3 อย่างให้ รวมทั้งการเข้าถือหุ้นทั้งในบริษัทแม่และบริษัทลูก ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ที่กลุ่มสามารถฯ ไปเจรจาต้องการเพียงเข้ามาถือหุ้นใน DPC บริษัทเดียวเท่านั้น "ถ้าถือหุ้นทั้งแม่และลูกจะทำให้การร่วมกันทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าถือเฉพาะบริษัทลูก" นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นในประสบการณ์และการให้บริการลูกค้าเทเลคอม มาเลเซียฯ และการมีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มสามารถฯ ที่จะพัฒนาธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และมัลติมีเดียในประเทศไทย

สำหรับ ดาโต๊ะ มูฮัมเหม็ด ซาอิด บิน มูฮัมเหม็ด อาลี ประธานของเทเลคอม มาเลเซียฯ ได้กล่าวถึงการตัดสินใจเข้ามาร่วมลงทุนกับกลุ่มสามารถฯ ว่าเป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจโทรคมนาคมโลกในยุคไร้พรมแดน โดยเฉพาะด้านมัลติมีเดียซึ่งเป็นธุรกิจในอนาคตและยังเป็นครั้งแรกสำหรับการลงทุนในต่างประเทศของเทเลคอม มาเลเซียฯ ที่ลงทุนทั้งด้านเครือข่ายและการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย (value added) ทั้งนี้ในส่วน value added ของกลุ่มสามารถฯ เป็นสิ่งที่เทเลคอม มาเลเซียฯ สนใจเป็นอย่างยิ่งและมีแผนการที่จะนำไปทำตลาดในประเทศอื่น ๆ ที่เราเข้าไปลงทุนโดยอาศัยบุคลากรของกลุ่มสามารถฯ เพราะปัจจุบันกลุ่มเทเลคอม มาเลเซียฯ เข้าไปลงทุนในประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ กัมพูชา แอฟริกาใต้ กานา มาลาวี

ในช่วงแรก ๆ นี้ทั้งสองจะร่วมมือกันในลักษณะร่วมลงทุนด้วยกันในด้านการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ PCN 1800 เนื่องจากในต้นปี 2541 กลุ่มสามารถฯ มีแผนจะเปิดให้บริการ "ดังนั้นในช่วงนี้เราจึงต้องเร่งขยายเครือข่ายของ DPC ให้ทั่วประเทศก่อน ส่วนโครงสร้างซัปพลายเออร์ตอนนี้กำลังเลือกอยู่ซึ่งก็มีทั้งโนเกีย ลูเซ่น เทคโนโลยีและอิริคสัน" ชาญชัย กล่าว

เนื่องจากการขยายเครือข่ายของ DPC จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่ร่วมลงทุนในลักษณะนี้คงจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะจำนวนเม็ดเงินดังกล่าวกลุ่มสามารถฯ ไม่สามารถระดมทุนได้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแม้ว่าทั้งสอง จะร่วมลงทุนแล้วแต่ก็ยังขาดเงินอีกพอสมควรในการสร้างเครือข่าย เพราะปัจจุบัน DPC มีเงินหมุนเวียนประมาณ 6,250 ล้านบาท

"ถือว่าปัจจุบัน DPC มีความแข็งแกร่งมาก แต่เราก็ยังต้องการเงินอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นเราจึงมีแผนที่จะนำหุ้นในกลุ่มสามารถฯ ที่ถือใน DPC ออกขายประมาณ 10% โดยส่วนนี้เราจะโรดโชว์ให้นักลงทุนรายเล็กทั้งในและต่างประเทศ แต่เราไม่เร่งรีบอะไรเพราะขณะนี้เงินทุนที่มีอยู่ก็มากพอแล้ว" ชาญชัย กล่าว

เมื่อร่วมมือกันแล้วผลประโยชน์ที่จะได้คือ การเอื้อประโยชน์ในการใช้เครือข่ายระบบ PCN 1800 ร่วมกัน เพราะเมื่อปีที่ผ่านมา เลเลคอม มาเลเซียฯ เพิ่งเปิดบริการโทรศัพท์ระบบ 1800 นอกจากนี้ยังจะได้ประโยชน์ในเรื่องการซื้อเครื่องลูกข่ายจากผู้ผลิตได้ในราคาต่ำ เพราะกลุ่มสามารถฯ ซื้อเพียงครั้งเดียวได้ปริมาณมากและนำไปจำหน่ายในประเทศที่เทเลคอม มาเลเซียฯ เข้าไปลงทุน

"เรายังคิดไปถึงว่าเครือข่ายจะเป็นซัปพลายเออร์เดียวกัน ฉะนั้นการเจรจาต่อรองจะสูงขึ้น ลูกข่ายก็คือมือถือเหมือนกัน เราก็มีอัตราต่อรองมาก แต่ก่อนเราซื้อปีละ 2-3 หมื่นเครื่อง แต่เมื่อรวมกับเทเลคอม มาเลเซียฯ จะเพิ่มเป็นแสนเครื่อง จะช่วยทั้งสองฝ่ายที่จะแข่งขันได้เป็นอย่างดี" ชาญชัย กล่าว

นอกจากนี้ยังได้มีการร่วมมือในด้านเพจเจอร์เนื่องจากทั้งสองมีบริการด้านนี้ โดยกลุ่มสามารถฯ มีบริการเพจเจอร์ที่เรียกว่า โพสเทล (Postel) ส่วนด้านเทลเคอม มาเลเซียฯ มีบริการที่เรียกว่า Sky Tel ซึ่งทั้งสองมีแนวคิดจะทำเครือข่ายเพจเจอร์ (Pager Roaming) ร่วมกัน

"เรามีแนวความคิดร่วมกันในเรื่องนี้โดยเฉพาะในแถบภาคใต้เพราะมีการเดินทางระหว่างประเทศกันมาก ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละประเทศก็สามารถเรียกกันได้ อีกทั้งเรายังจะนำสินค้าของเรา เช่น เพจเจอร์ เสาอากาศ จานดาวเทียม ไปขายในมาเลเซียด้วย" ชาญชัย เล่า

และที่สำคัญกลุ่มสามารถฯ ยังต้องการให้เทเลคอม มาเลเซียฯ ช่วยการขยายตลาดในเรื่องโทรศัพท์พื้นฐาน 6 ล้านเลขหมายที่จะเปิดประมูลในอนาคต "ที่นำเขาเข้ามาร่วมประมูลเพราะเราไม่มีความชำนาญในเรื่องโทรศัพท์พื้นฐาน แต่ถ้าดึงพันธมิตรเข้ามาโอกาสที่เราจะประมูลได้จะเปิดกว้างมากขึ้น"

ส่วนทางด้านเทเลคอม มาเลเซียฯ นั้น จะได้ประโยชน์จากการร่วมลงทุนในครั้งนี้อย่างมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากในขณะนี้เทเลคอม มาเลเซียฯ กำลังมีบทบาทสำคัญในโครงการสร้างสาธารณูปโภคในโครงการมัลติมีเดีย ซูเปอร์ คอร์ริดอร์ (Multimedia Super Corridor : MSC) ซึ่งเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศพื้นฐานของมาเลเซีย เป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านสื่อโทรคมนาคมในลักษณะ one stop service ซึ่งมีมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 5 พันล้านริงกิต หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

โครงการ MSC จะเป็นศูนย์กลางให้บริการสื่อสารเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป หรือแถบอาเชียน โดยใช้สายไฟเบอร์ออพติก ซึ่งโครงการดังกล่าวต้องการเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้าไปสนับสนุนโครงการ และทางเทเลคอม มาเลเซียฯ ก็มั่นใจว่ากลุ่มสามารถฯ จะช่วยเหลือได้

"เรามั่นใจในศักยภาพของบุคลากรด้านมัลติมีเดียของกลุ่มสามารถฯ ซึ่งหายากมากในแถบภูมิภาคนี้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อโครงการ MSC ที่เราวางเครือข่ายในมาเลเซีย สิ่งแรกที่จะดำเนินการคือ ด้านอินเตอร์เน็ตและมัลติมีเดีย และในอนาคตจะเป็นการร่วมมือด้าน Data Communication และ Information Superhighway" ประธานของเทเลคอม มาเลเซียฯ กล่าวถึงประโยชน์ที่จะได้จากกลุ่มสามารถฯ อย่างกว้าง ๆ

ระบบเด่น ๆ ที่ทางเทเลคอม มาเลเซียฯ ต้องการจากกลุ่มสามารถฯ ได้แก่ ระบบ POSNET และทางด้านอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า ไซเบอร์เนต, ไซเบอร์มอลล์ โดยกลุ่มสามารถฯ จะนำไปบริการในมาเลเซีย

สำหรับความกังวลใจในการบริหารงานร่วมกัน เรื่องนี้ชาญชัยก็ได้ยอมรับว่าอาจจะมีปัญหาบ้างในบางครั้ง แต่โดยรวมแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นผลดีในอนาคต เพราะกลุ่มสามารถฯ จะต้องเรียนรู้สำหรับการทำธุรกิจในระดับอินเตอร์ จะต้องยอมรับแนวความคิด วิธีการทำงานของพันธมิตรและต้องยอมแบ่งอำนาจในการบริหารงานให้กับพันธมิตร

"ถ้าเราไม่ยอมรับกับสิ่งเหล่านี้ โอกาสที่เราจะเติบโตก็ลำบาก และที่เราทำเช่นนี้ก็เป็นก้าวหนึ่งของเราที่กำลังจะกลายเป็นบริษัทอินเตอร์ ได้บริหารงานร่วมกับบริษัทต่างประเทศ"

ดังนั้นการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทั้งแนวความคิด การบริหารงาน เทคโนโลยีระหว่างกัน เนื่องจากเทเลคอม มาเลเซียฯ เชี่ยวชาญในเรื่องการวางเครือข่าย ส่วนกลุ่มสามารถฯ ชำนาญและมีประสบการณ์เรื่องการบริการในเรื่องต่าง ๆ

การตัดสินใจในครั้งนี้จะช่วยสานฝันให้กลุ่มสามารถฯ กลายเป็นบริษัทอินเตอร์รายแรกในประเทศไทยของธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมได้หรือไม่นั้น

น่าจับตามองอย่างยิ่ง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.