|
"บัวทอง"ปรับผังองค์กรใหม่รองรับโครงการจัดสรรกลาง-ล่างมาแรง
ผู้จัดการรายวัน(9 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
"บัวทอง" ปรับผังองค์กรรับตลาดบ้านราคากลาง-ล่างมาแรง หลังพบผลสำรวจโครงการที่มีจำนวนยูนิตเหลือขายเกิน 20 ยูนิตในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีกว่า 620 โครงการ เตรียมแผนเข้าช่วยบริหารงานขาย ตั้งเป้ายอดขายปี 49 กว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าผุดบ้านจัดสรร 3 โครงการมูลค่า 730 ล้านบาท คาดเป้ายอดขายแตะ 700 ล้านบาท
นายไพไรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทได้ทำการปรับผังผู้บริหารใหม่ โดยให้นายรังสรรค์ หวังไพฑูรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีที สมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่เน้นรับบริหารงานขายให้กับโครงการระดับกลางถึงบน เข้าดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่รับบริหารงานขายโครงการระดับกลาง-ล่าง และให้นางชนิศา เวชยาศรมพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บีที สมาร์ทฯ
ส่วนบริษัท บัวทอง มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด นางบัวทิพย์ พรหมศร ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและรองประธานกรรมการบริหารเช่นเดิม สำหรับบริษัท บัวทอง แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด นายสาธิต เหรียญวิไลรัตน์ นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการควบกับตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารของกลุ่มบริษัท
สำหรับสาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการบริหารดังกล่าว เนื่องมาจากผลสำรวจโครงการที่เปิดขายในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีโครงการเหลือขายเกินกว่า 20 ยูนิต จำนวน 620 โครงการ จากทั้งหมดจำนวน 1,200 โครงการ ซึ่งกลุ่มโครงการเหล่านี้ถือเป็นโครงการกลุ่มเป้าหมายของบริษัท ในการที่จะเข้าไปช่วยบริหารงานขายให้สามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น หากมีการวางแผนด้านการตลาดอย่างดี นอกจากนี้ยังพบว่าในจำนวน 620 โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินโครงการไปได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ จากแนวโน้มค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ทำให้ซื้อบ้านได้ในราคาที่ถูกลง ดังนั้นบ้านระดับกลาง-ล่างจึงได้รับความนิยมสูงสุดรวมไปถึงยังเป็นฐานลูกค้าที่กว้างที่สุดในตลาด ส่วนบ้านระดับกลางบนนั้นยังถือว่าขยายได้แต่ยังน้อยกว่าตลาดกลางล่าง ดังนั้นบริษัทจึงได้หันมาให้ความสำคัญกับตลาดกลาง-ล่างมากขึ้น
ส่วนภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ นายรังสรรค์ หวังไพฑูรย์ กล่าวว่า ไม่แตกต่างไปจากปี 2548 โดยตลาดระดับกลาง-ล่าง ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดระดับบนยังคงมีปัญหาเรื่องขยายตัวได้ช้า แต่เชื่อว่าในโครงการที่มีคุณภาพ ตั้งอยู่ในทำเลดียังโตได้ นอกจากนี้ยังมีการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ถึง 2 ครั้งในปีนี้ และงานที่อยู่อาศัยอื่นๆ อีกหลายงาน ซึ่งจะเป็นการนำเสนอสินค้าให้ผู้บริโภครับรู้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การขายรูปแบบเดิม คือสร้างเองขายเองก็จะเริ่มมีน้อยในตลาด เนื่องจากในปัจจุบันมีการแข่งขันกันมากขึ้น โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการรายใหญ่ มีแบรนด์สินค้าการันตีคุณภาพ ส่วนรายกลาง รายย่อยนั้นจะต้องสร้างคุณภาพของสินค้าให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ต้องมีการศึกษาตลาดก่อนลงมือพัฒนา และมีการทำการตลาดอย่างมืออาชีพ ดังนั้นในกลุ่มผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อยจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องใช้บริษัทบริหารการขายและการตลาดที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยในการทำตลาดจึงจะประสบความสำเร็จหรือปิดการขายได้เร็วขึ้น
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทบัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ 1,200 ล้านบาท , บีที สมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 1,300 ล้านบาท และบัวทอง มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง 500 ล้านบาท
ด้านนายสาธิต เหรียญวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บัวทอง แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพัฒนาโครงการจัดสรรของกลุ่มบัวทอง นั้นในปี้นี้จะพัฒนา 3 โครงการทั้งโครงการใหม่และโครงการต่อเนื่องจากปี 2548 ได้แก่ โครงการ ทิพย์พิมาน (ติวานนท์-วงแหวน) เป็นบ้านเดี่ยว 76 ยูนิต มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2548 ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 85% มียอดขายแล้ว 56 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้
โครงการทิพย์พิมานการ์เด้น ต้นถนนบ้านกล้วยไทรน้อย เป็นทาวน์เฮาส์ 170 ยูนิต อาคารพาณิชย์ 21 ยูนิต มูลค่าโครงการ 320 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.6 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างบ้านตัวอย่าง พร้อมเปิดตัวเต็มรูปแบบในต้นเมษายนนี้ คาดว่าว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2550
โครงการภัทรทรัพย์ ลำลูกกาคลอง 3 บ้านแฝด 130 ยูนิต มูลค่าโครงการ 260 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อโครงการในช่วงต้นปีนี้ รูปแบบเป็นบ้านแฝดกว้าง 7 เมตร สไตล์บาหลี ปัจจุบันการก่อสร้าง 30% มียอดขายแล้ว 65% หรือ 85 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในปี 2550
นายสาธิต กล่าวว่า การพัฒนาโครงการในปี 2549 มีมูลค่ารวม 730 ล้านบาท จำนวน 397 ยูนิต ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปีนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ส่วนจะมียอดโอนเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับการก่อสร้าง ส่วนในปี 2548 บริษัทมียอดขาย 200 ล้านบาท ทั้งนี้การพัฒนาโครงการจัดสรรของบริษัทจะมีทั้งพัฒนาโครงการใหม่ และเข้าซื้อโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จมาพัฒนาและทำการตลาดใหม่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|