เส้นทางชีวิตของ ศุภกิจ รุ่งโรจน์ พลิกผันจากความใฝ่ฝันเป็นครูพละ สู่พ่อค้าหัวป่าก์
วันนี้ อัลเฟรโด พิซซ่าลอยฟ้า สูตรของคนไทยสไตล์ผสมผสาน ถึงบทบาทขยายตัวแบบมืออาชีพโดยการร่วมทุนกับกลุ่มอีเทอร์เนล
เริ่มด้วยการขยายสาขาเดือนละ 2 แห่งหวังชิงส่วนแบ่งตลาดพิซซ่าฮัท โดยจับตลาดซื้อกลับบ้านและต่างจังหวัดเป็นหลักก่อนลุยต่างแดน
พร้อมวาดฝันบุกแข่งขันในตลาดอเมริกา
บนถนนสายธุรกิจที่มีนามว่า "อโศก" ที่ซึ่งสองฟากฝั่งเต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่านและผู้คน
ถนนสายนี้ไม่เคยมีเวลาหยุดพัก เพราะมันไม่เคยปราศจากยานยนต์และชีวิต
อัลเฟรโด ร้านอาหารไทยสไตล์อิตาลี ได้เปิดตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ บนถนนสายนี้เมื่อประมาณ
4 ปีก่อน ที่ตั้งของมันคือบ้านไม้ 2 ชั้นท่ามกลางรั้วสูงใหญ่ใกล้อโศก ทาวเวอร
โดยมีศุภกิจ รุ่งโรจน์ หนึ่งในหุ้นส่วนเป็นผู้ดูแลจัดการทั้งหมด นับแต่แต่งานพ่อครัว
(chef) จนกระทั่งงานบริหาร
"ตอนนั้นพี่สาว พี่เขย และเพื่อนพี่เขยเขาอยากทำร้านอาหาร เราก็มาคุยกันก็สรุปว่ามาได้ที่อโศก
ที่เลือกที่นี่เพราะดูแล้วสบายใจดี ตอนเช้า ๆ ผมก็มานั่งนับคนที่เดินผ่านไปมา
ก็ดี คนเยอะ ช่วงนั้นตึกศรีมิตร คิวเฮ้าส์ ยังไม่เกิด บ้านหลังนี้เป็นของญาติของหุ้นส่วนคนหนึ่งจึงติดต่อได้ไม่ยาก
ช่วงแรกผมทำเองหมดทุกอย่าง เป็นเชฟเอง บริหารเอง แจกใบปลิวเอง" ศุภกิจเท้าความ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยต้องออกไปสาธิตพิซซ่าลอยฟ้าตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อให้คนรู้จักอัลเฟรโดมากขึ้น
แต่ศุภกิจก็ไม่เคยท้อ เขายังคงสนุกอยู่กับงาน กับการทำอาหารซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ทางชีวิตที่พลิกผัน
ศุภกิจจากบ้านเกิดข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่อที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 10 ขวบพร้อมกับความตั้งใจที่จะเรียนพละศึกษา
และฝึกปรือกีฬาจนสามารถยึดเป็นอาชีพได้ เขาฝันอยากเป็นครูสอนพละ!
"4 ปีที่ไฮสคูล ผมเล่นกีฬาหลายอย่าง ที่ถนัดที่สุดก็คือเบสบอล ผมเล่นจนเข่าพัง
ช่วงนั้นผมทำงานพิเศษอยู่ในร้านอาหารอิตาลี ก็มีพิซซ่าลอยฟ้าขายตอนนั้นเชฟก็บอกผมว่าทางด้านกีฬาผมคงไปไม่ได้ไกลเพราะเข่าพังแล้ว
และแนะนำให้ผมไปศึกษาในเรื่องการโรงแรมและร้านอาหารจะดีกว่า" ศุภกิจย้อนอดีต
หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจทำตามที่เชฟแนะนำ โดยเข้าศึกษาต่อที่ Culinong
Institute of America (CIA) สถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการผลิตพ่อครัว
ทันทีที่จบการศึกษาก็เริ่มหาประสบการณ์ด้านการทำอาหารจากร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังอย่าง
Four Season
สิ่งที่ศุภกิจถนัดคือการปรับปรุงสูตรการทำอาหารใหม่ ๆ โดยนำอาหารตะวันตกและตะวันออกมาผสมกัน
และครั้งหนึ่งเมื่อโรแนลด์ เรแกน ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาได้มาพักที่โรงแรม
Four Season ศุภกิจคือผู้รับหน้าที่ทำอาหารให้แก่เรแกนรับประทาน
22 ปีในต่างแดนได้จบสิ้นลง ศุภกิจเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อ 7 ปีก่อนและเข้าทำงานในโรงแรมพาวิลเลจ
ที่ภูเก็ต ช่วงนั้นเขาเริ่มมีชื่อเสียงในด้านการทำอาหารมากขึ้นจนได้รับรางวัลจากต่างประเทศ
ชีวิตพลิกผันอีกครั้ง เมื่อพี่สาวและพี่เขยชวนมาเปิดร้านทำอาหาร ศุภกิจรับปากอย่างไม่ลังเล
งานใหม่ ๆ ที่ท้าทายอย่างนี้ยากที่จะปฏิเสธ ศุภกิจลาออกจากการเป็นลูกจ้างและเดินหน้าเริ่มต้นกิจการของตัวเองอย่างจริงจังในตำแหน่ง
ผู้จัดการร้านอาหารอัลเฟรโด เขาเริ่มต้นด้วยการบุกเบิกให้คนรู้จักพิซซ่าลอยฟ้ามากขึ้น
โดยการไปแสดงสาธิตตามห้างสรรพสินค้า
"ผมไปสาธิตวิธีลอยฟ้าตามห้าง แล้วก็ให้คนชิมเพื่อถามเขาว่าดีไหม ก็ปรับเปลี่ยนกันมาเรื่อย
ช่วงแรก จะรสจืด ตอนหลังผมจับได้ว่าคนไทยชอบรสจัด กลับมาปุ๊บผมก็ทำซอสสูตรพิเศษขึ้นมา
ปรับมา 3 หน พอหนที่ 4 ก็ติดตลาด เริ่มมีการออกงานที่ต่าง ๆ ออกรายการทีวี"
ศุภกิจกล่าว
พิซซ่าของเขาโรยหน้าด้วยไส้กรอกอีสานรสเด็ด สปาเกตตี้ขี้เมารสจัดถูกปากคนไทย
ทริสเตอร์ ฮ็อตด็อกสูตรผสมแบบลูกครึ่งไทยตะวันตก ศุภกิจเป็นผู้คิดค้นสูตรการทำแป้งพิซซ่า
ซอสปรุงรส และอาหารทุกอย่างที่วางขายเองทั้งหมด
"อย่างแป้งนี้เราคิดค้นกันนาน เพราะแป้งไทยกับแป้งต่างประเทศมันไม่เหมือนกัน
ก็ลองกันหลายยี่ห้อ ผสมกันหลายแบบ ใช้เวลา 9 เดือนกว่าจึงมาลงตัวตรงนี้"
ศุภกิจกล่าว
อัลเฟรโดเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มทำไม่ทันขาย ต้องมีการสั่งซื้อเครื่องมือและเพิ่มพนักงาน
ถึงจังหวะนี้ศุภกิจบอกกับตัวเองว่ามันหยุดไม่ได้แล้ว เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองและอัลเฟรโดมากขึ้น
โดยการเดินทางไปแข่งขัน World Pizza Game ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาในปี 2539
งานนี้มีผู้ร่วมแข่งขันจำนวนมากจากสารพัดประเทศ แต่ศุภกิจก็สามารถคว้าตำแหน่งรองแชมเปี้ยนโลกพิซซ่าลอยฟ้าได้สำเร็จ
นับเป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้ตำแหน่งนี้
ขยายตัวอย่างมืออาชีพ
ศุภกิจตั้งใจที่จะขยายสาขาของอัลเฟรโดให้มากขึ้น แต่ยังติดปัญหาเรื่องเงินทุนและการบริหารงานอย่างเป็นระบบ
นับเป็นจังหวะเดียวกับที่บริษัทอีเทอร์เนล กรุ๊ปติดต่อขอร่วมทุนเข้ามา การขยายตัวอย่างมืออาชีพจึงเริ่มขึ้น
วิวัฒน์ คุณารัตนอังกูร เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานบริษัทใหม่นาม อัลเฟรโด
เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โดยมีศุภกิจรั้งตำแหน่งรองประธานฝ่ายการตลาด การขยายตัวของอัลเฟรโดเริ่มขึ้นด้วยการประชาสัมพันธ์พิซซ่าลอยฟ้าให้เป็นที่รู้จัก
พร้อม ๆ กับการขยายสาขาในลักษณะ Kiosk (ป้อม) ไปตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
โดยเลือกทำเลหน้าซูปเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก กลุ่มเป้าหมายของอัลเฟรโดคือแม่บ้าน
และเด็ก ๆ
ตลาดพิซซ่าแบ่งออกเป็น 3 ตลาดใหญ่ ๆ คือ 1. ร้านอาหารเต็มรูปแบบ (Full
restaurant) ใช้เนื้อที่ประมาณ 250-350 ตร.ม. ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 10-20
ล้านบาทต่อหนึ่งสาขา ยอดขายแต่ละเดือนประมาณ 1-3 ล้านบาท ตลาดนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างพิซซ่าฮัท
และนารายณ์พิซซาเรีย กลุ่มลูกค้าคือวันรุ่น 2. ตลาดส่งถึงที่ (Delivery)
ใช้พื้นที่ประมาณ 50-100 ตร.ม.เงินลงทุน 3-5 ล้านบาท ยอดขายเดือนละ 0.5-1
ล้านบาท เป็นการต่อสู้ระหว่างพิซซ่าฮัทกับ โดมิโน่พิซซ่า กลุ่มลูกค้าคือคนทำงาน
3. ซื้อกลับบ้าน (Take Home) ใช้พื้นที่ประมาณ 12-15 ตร.ม. เงินลงทุน 1 ล้านบาท
ยอดขายเดือนละ 2-5 แสนบาท กลุ่มนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างพิซซ่าฮัทกับอัลเฟรโด
"ที่เลือกตลาด Take Home เพราะคู่แข่งอย่างพิซซ่าฮัทจะไม่ทำตลาดนี้แล้ว
เมื่อก่อนเขามี 9 สาขา ยุบทิ้งไป 4 สาขา เหลือแค่ 5 สาขา พิซซ่าฮัทประกาศว่าจะไม่เปิดเพิ่มอีกแล้วเพราะถ้าเปิด
Take home แล้วคนจะไม่มากินร้านใหญ่ของเขา ส่วนโดมิโน่ก็ไม่เปิด เพราะบริษัทแม่ไม่ให้เปิด
ฉะนั้นอัลเฟรโดมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในตลาดนี้" วิรัตน์แจง
ปัจจุบันอัลเฟรโดมีอยู่ 13 สาขา และกำลังจะเปิดเพิ่มในเดือนสิงหาคมนี้อีก
2 สาขา บริษัทมีนโยบายจะเปิดเพิ่มทุกเดือน เดือนละ 2 สาขา โดยส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนของบริษัทเอง
และอีกส่วนหนึ่งเป็นการขายแฟรนไชส์ เมื่อถึงสิ้นปีอัลเฟรโดจะมี 30 สาขา
แต่ละสาขาใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับยอดขายเฉลี่ยเดือนละ
3 แสนบาท ทำให้มีผู้สนใจติดต่อขอแฟรนไชส์กันเข้ามามาก การขยายสาขาจึงเป็นไปตามเป้าหมาย
ปัจจุบันตลาดพิซซ่าในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท พิซซ่าฮัทนับเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งถึง
85% อัลเฟรโดมีส่วนแบ่ง 1.5% ที่เหลือคือนารายณ์พิซซาเรีย โดมิโนพิซซ่า และอื่น
ๆ รวมกัน หากอัลเฟรโดสามารถขยายสาขาได้ตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ บริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น
5% และในปีหน้าจะเริ่มเข้าสู่ตลาด Delivery หลังจากนั้นอีกปีหนึ่งจะเข้าสู่ร้านอาหารเต็มรูปแบบ
โดยจะเริ่มต้นที่ต่างจังหวัดก่อน
วิรัตน์มองว่า การเปิดร้านอาหารเต็มรูปแบบนั้น จำเป็นต้องลงทุนสูง คืนทุนช้า
ซึ่งหากเปิดในกรุงเทพฯ จะเสียเปรียบยักษ์ใหญ่อย่างพิซซ่าฮัทมาก เนื่องจากพิซซ่าฮัทมีสาขาจำนวนมาก
และเป็นที่รู้จักของคนกรุงเทพฯ ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับตลาดต่างจังหวัดพิซซ่าฮัทเพิ่งขยายตัวออกไป
หากอัลเฟรโดจะไปแข่งขันในตลาดนี้บ้างย่อมมีความเป็นไปได้
นอกจากนี้วิรัตน์ยังมีแผนขยายสาขาไปยังประเทศพม่า อินโดนีเซีย และจีนด้วย
เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังไม่มีตลาดพิซซ่า หากอัลเฟรโดเข้าไปทำตลาดได้ก่อนก็จะมีความได้เปรียบ
ปัจจุบันอัลเฟรโดกำลังดูทำเลในเมืองร่างกุ้งแล้ว อยู่ระหว่างสรุปกับรัฐบาลพม่า
ถ้าสำเร็จพม่าจะเป็นประเทศแรกที่เข้าไป
อย่างไรก็ตามศุภกิจฝันไกลไปถึงตลาดอเมริกา เขาหวังจะเข้าไปแข่งขันที่นั่น
ด้วยสินค้าที่แตกต่างโดยใช้ชื่อว่า "ไทยพิซซ่า" ปัจจุบันตลาดพิซซ่ารวมในอเมริกามีมูลค่าสูงนับแสนล้านบาท
ปีนี้ศุภกิจเตรียมทีมไปแข่งขัน World Pizza Game อีกครั้ง เขาหวังที่จะคว้าตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกกลับมา
ซึ่งหากเป็นไปได้คนไทยจะได้สร้างชื่อในอเมริกาอีกครั้ง และความฝันของศุภกิจจะส่อแววความจริงมากยิ่งขึ้น