|
ดีแทคชี้3ปีขึ้นที่หนึ่งตลาดโพสต์เพด
ผู้จัดการรายวัน(8 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ดีแทคตั้งเป้าภายในปี 2551 หรืออีก 3 ปีดีแทคจะมีส่วนแบ่งตลาดระบบโพสต์เพด 50% หรือเป็นที่หนึ่งในตลาดโพสต์เพด หลังเวิร์กโดนใจลูกค้า ต่อยอดด้วยเวิร์กมอร์ โทร. 1 ชั่วโมงจ่าย 3 นาทีตลอด 24 ชั่วโมง ด้านเอไอเอสเชื่อเป็น เกมการสร้างฐานลูกค้าที่เอไอเอสเลยมาไกลแล้ว แต่ให้ระวังลูกค้าสับสนกับ ZAD บุฟเฟต์ และการ ใช้งานช่วงเครือข่ายหนาแน่นอาจเกิดปัญหา
นายสันติ เมธาวิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นหรือดีแทคกล่าวว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือในปี 2551 ดีแทคจะมีส่วนแบ่งตลาดในระบบโพสต์เพด 50% หรือมีลูกค้าประมาณ 3 ล้านรายจากตลาดรวมระบบโพสต์เพดทั้งหมด 6 ล้านราย โดยตัวเลขดังกล่าวดีแทคประมาณจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สรุปว่าประชากรที่มีงานทำในประเทศไทยมีจำนวน 36.55 ล้านคนซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้มีรายได้ประจำ อาทิ ข้าราชการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบวิชาชีพในสายงานต่างๆ ประมาณ 5.43 ล้านคน และกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะจบปริญญาตรีและจะเปลี่ยนสถานะเป็นคนทำงานหรือ First Jobber ประมาณ 0.57 ล้านคน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ถือว่ามีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะใช้บริการมือถือในระบบโพสต์เพด
ตัวเลข 6 ล้าน ยังไม่รวมกลุ่มอื่นๆอย่างแม่บ้าน หรือพ่อซื้อให้ลูกโดยรวมบิลเดียวกัน ซึ่งดีแทค มองว่าตลาดยังมีศักยภาพ ทั้งนี้ ตลาดรวม 6 ล้านเลขหมายดังกล่าว ดีแทคไม่ได้รวมเรื่องการให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ในอนาคตเพราะดีแทคเชื่อว่า 3G เป็นบริการต่อยอด สำหรับลูกค้าที่ต้องการบริการเสริมด้านมัลติมีเดีย ไม่ได้ก่อให้เกิดลูกค้าใหม่ รวมทั้งผลกระทบกับลูกค้า ในระบบโพสต์เพดมีน้อย และอาจไม่มีเลยสำหรับลูกค้าระบบพรีเพด
ปัจจุบันดีแทคมีส่วนแบ่งตลาดระบบโพสต์เพด ประมาณ 35% หรือมีฐานลูกค้าประมาณ 1.5 ล้านราย โดยที่ดีแทคเชื่อว่าการกระตุ้นตลาดของ ดีแทคและคู่แข่งจะทำให้ตลาดโพสต์เพดเติบโตได้ อย่างแพกเกจเวิร์กที่ดีแทคเปิดตัวเมื่อ 15 พ.ย. 2548 จนถึงตอนนี้มีลูกค้าใช้บริการแล้ว 2.6 แสนราย โดย 1 แสนรายเป็นลูกค้าใหม่ และถ้าหากดูถึงยอดลูกค้า เพิ่มสุทธิในระบบโพสต์เพด เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวดีแทคมียอดเพิ่ม 51,650 ราย และเพื่อรักษาการเติบโตยอดลูกค้าโพสต์เพดอย่างต่อเนื่องดีแทคออกแพกเกจใหม่ชื่อเวิร์กมอร์ (WORK MORE) เพื่อต่อยอดเวิร์กเดิม โดยเปลี่ยนแปลงค่าใช้บริการขั้นต่ำจากเดือนละ 399 บาทเป็น 599 บาท และขยายช่วงเวลาจากเดิมที่ใช้ได้ในช่วง 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม ให้กลายเป็น 24 ชั่วโมง ด้วยอัตราค่าบริการเดิมคือโทร. 1 ชั่วโมงจ่าย 3 นาทีๆละ 2.50 บาท คิดขั้นต่ำ 60 วินาทีแรก หากโทร.ไม่ถึง 3 นาทีคิดค่าใช้จ่ายเป็นวินาที สำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนภายใน 31 มี.ค.ได้รับสิทธิ 12 รอบบิล โดยที่ถ้าเลือกเวิร์กมอร์ จะได้สิทธิเงื่อนไขเวิร์กมอร์ 6 รอบบิลที่เหลือได้ตาม สิทธิเวิร์ก
"ดีแทคตั้งเป้าลูกค้าในกลุ่มเวิร์กไว้ทั้งหมดประมาณ 5 แสนราย ซึ่งเราเชื่อว่าการใช้งานของลูกค้า 5 แสนรายจะไม่มีผลกระทบกับคุณภาพเครือข่ายดีแทค"
สำหรับรายได้ต่อเลขหมายนั้น ดีแทคเชื่อว่าอาจลดลงจากปัจจุบันที่ดีแทคมีรายได้ต่อเลขหมายในระบบโพสต์เพดประมาณ 1 พันบาทลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการขยายฐานลูกค้าออกไปเป็นแมสมากขึ้น ส่วนรายได้ต่อเลขหมายระบบพรีเพดซึ่งปัจจุบัน สูงกว่าคู่แข่งแล้วนั้น สามารถกระตุ้นให้สูงขึ้นด้วย1. นวัตกรรมด้านราคา หลีกเลี่ยงการทำโปรโมชันช่วงการใช้งานหนาแน่น (Peak Time) เพื่อใช้ประโยชน์จากเครือข่ายให้เต็มที่ 2.ดึงลูกค้าที่มีการใช้งานมากหรือไฮเอนด์ จากคู่แข่งและ 3.กระตุ้นให้เกิดการใช้งานบริการเสริมให้มากขึ้นอย่าง SMS
"ในปีนี้ เมื่อรวมลูกค้าโพสต์เพดกับพรีเพดเข้าด้วยกัน รายได้ต่อเลขหมายเฉลี่ยจะสูงขึ้น" นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคกล่าว
นายซิคเว่ยังย้ำว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมาดีแทค ขยายความสามารถรองรับของเครือข่ายพิ่มขึ้นอีก ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้ากลุ่มเวิร์กที่คาดว่าจะมีมากถึง 5 แสนรายจะสามารถใช้งานได้อย่างดีและไม่มีผลกระทบกับเครือข่าย ส่วนการเล่นเรื่องราคาในช่วงนี้ อยากเรียกว่าเป็นการแข่งขันด้านราคาไม่ใช่สงคราม ราคาที่โอเปอเรเตอร์ต้องมารับภาระค่าใช้จ่ายที่ตัดราคาให้ลูกค้า และการออกแพกเกจเวิร์กมอร์ ก็ไม่ใช่การฉกฉวยโอกาสกรณีการเคลื่อนไหวด้านการเมือง หรือการขายหุ้นให้เทมาเส็ก ซึ่งดีแทคเชื่อว่า เอไอเอสมีทั้งเงินและประสบการณ์ในการทำตลาดมือถือ ไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ส่วนกรณีทรูมูฟก็เน้นด้านคอนเวอร์เจนต์ ในขณะที่ดีแทคมุ่งมั่นแต่เรื่องการสื่อสารไร้สายหรือโทรศัพท์มือถือเพียงอย่างเดียว
สำหรับความคืบหน้าการนำดีแทคที่ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายซิคเว่กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่คาดว่าจะนำดีแทคเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไทยได้ภายในสิ้นปี 2549 ซึ่งขณะนี้อยู่หว่างการหารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเนื่องจาก บริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น อินดัสตรีหรือ UCOM เป็นบริษัทจดทะเบียนและมีฐานะเป็นบริษัทแม่ของดีแทค
เอไอเอสชี้ระวังลูกค้างง
ด้านนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอสกล่าวว่า การขึ้นราคาเวิร์กมอร์เป็น 599 บาทถือเป็นราคาที่สูงพอสมควร อย่างไรก็ตามน่าเป็นห่วงลูกค้าอาจเกิดความสับสนกับ ZAD บุฟเฟต์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่การขยายช่วงเวลาเป็น 24 ชั่วโมง อาจทำ ให้เกิดปัญหากับเน็ตเวิร์กในช่วงการใช้งานหนาแน่น เพราะลูกค้าอาจใช้โทร.เป็นเวลานานเพื่อให้เกิดความ คุ้มค่า เนื่องจากหากใช้ไม่เกิน 3 นาทีก็ถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอสมควร
เขาเปรียบเทียบว่าการทำตลาดไม่ใช่การเล่นกีฬาอย่างเทนนิสเมื่อฝ่ายหนึ่งเสิร์ฟลูกมาจะต้องตีโต้กลับด้วยความรุนแรง เหมือนกรณีที่ดีแทคประกาศสู้ราคาออเร้นจ์ที่เปลี่ยนชื่อเป็นทรูมูฟ ทุกรูปแบบ ซึ่งทรูมูฟกำลังมีโปรโมชันราคาออกมาอีกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่โทร.สั้นนาทีแรก 25 สตางค์นาที ต่อไป 1.50 บาท หรือพวกโทร.ยาวนาทีแรก 1.50 บาทนาทีต่อไป 25 สตางค์ หรือมีในช่วงพีก หรือออฟพีก อีก ซึ่งหมายความว่าดีแทคจะต้องลงไปสู้ราคาด้วย
"ดีแทคอยู่ในช่วงการสร้างส่วนแบ่งตลาด จำเป็นต้องออกแพกเกจราคาเพื่อให้ได้ลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งเอไอเอสผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เอไอเอส เชื่อว่าธุรกิจการให้บริการอย่างโทรศัพท์มือถือ ต้องมองในมุมผู้บริโภคว่าแต่ละกลุ่มต้องการบริการรูปแบบไหนมากกว่าการเล่นราคาตอบโต้กันไปมาอย่างเดียว"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|