|

กบข.พลิกแผนจัดตั้งบลจ. ตัดสินใจร่วมลงทุนแทน
ผู้จัดการรายวัน(7 กุมภาพันธ์ 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
กบข.พับแผนจัดตั้ง บลจ. ใหม่ เผยเบื้องต้นอาจใช้แนวทางการเข้าไปร่วมทุนแทน ระบุจะไม่เข้าไปถือหุ้น 100% ย้ำจุดประสงค์หลัก ต้องการหาสินค้าบริการสมาชิกเท่านั้น ไม่ได้ต้องการแข่งขัน "วิสิฐ" คาดปีนี้สินทรัพย์สุทธิขยับขึ้นเป็น 3.1 แสนล้านบาท จาก 2.8 แสนล้านบาทในปี 48 ส่วนการขยายเพดานลงทุนในหุ้นจาก 20% เป็น 30% คาดได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนนี้
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว โดยในเบื้องต้นอาจไม่จำเป็น ต้องจัดตั้งขึ้นเป็น บลจ.แห่งใหม่ แต่อาจจะเข้าไปร่วมทุนกับ บลจ.ที่มีอยู่แล้ว โดยขณะนี้ มีกำหนดไว้ในใจแล้วส่วนจะเป็นบลจ.ไหนนั้น ยังไม่สามารถบอกได้
อย่างไรก็ตาม ในการเข้าไปร่วมทุนกับธุรกิจ บลจ.นั้น กบข.ไม่ได้ต้องการเข้าไปถือหุ้นเต็ม 100% อาจจะเป็นลักษณะของพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีการออกผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนร่วมกัน เนื่องจากจุดประสงค์ในการทำธุรกิจ บลจ. เพราะเราต้องการส่งเสริมการออมให้แก่สมาชิกมากขึ้น โดยเฉพาะการออมหลังการเกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังมีเงินออมไม่เพียงพอ ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่เฉพาะข้าราชการเท่านั้น ยังจะรวมไปถึงรัฐวิสาหกิจและเอกชนด้วย
"ความตั้งใจของกบข.ในการทำธุรกิจบลจ. ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน จึงไม่ต้องทำเองทั้งหมด 100% และไม่ต้องการเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่สัดส่วนการเข้าไปร่วมลงทุนอาจจะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากหน่อย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว โดยคาดว่าอีก 2 เดือนน่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ และจะเห็นภายในปีนี้แน่นอน" นายวิสิฐกล่าวอย่างไรก็ตาม ในอนาคตหลังจาก กบข.มีธุรกิจ บลจ.แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดกั้นไม่ให้ บลจ.อื่นๆ บริหารจัดการทรัพย์สินของ กบข. ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนสินทรัพย์ประมาณ 20-30% หรือประมาณ 50,000 ล้านบาทให้ บลจ.บริหารอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศอีก 10% ที่ให้ บลจ.บริหารด้วยเช่นกัน
สำหรับผลการดำเนินงานของ กบข. ในปี 2548 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 กบข.มีสินทรัพย์สุทธิจำนวนทั้งสิ้น 286,823 ล้านบาท และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งปี (สะสม 12 เดือนตั้งแต่มกราคม-ธันวาคม 2548) เท่ากับ 6.76% หรือคิดเป็นเงิน 15,550 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการดังกล่าวถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับตัวเทียบวัดการลงทุนที่ กบข.กำหนดไว้ กล่าวคือ สูงกว่า ผลตอบแทนจากเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 ธนาคารซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1.29% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.5% สำหรับอัตราผลตอบแทนสะสมย้อนหลัง 3 ปี (2546-2548) เท่ากับ 6.80% และย้อนหลัง 5 ปี (2544-2548) เท่ากับ 7.16%
ส่วนพอร์ตการลงทุนในปี 2548 แบ่งเป็นลงทุนในเงินฝากธนาคาร และตราสารหนี้ทั้งของรัฐและเอกชนมากที่สุด 67.86% รองลงมาเป็น การลงทุนในตราสารทุน 13.68% อสังหาริมทรัพย์ 3.09% การลงทุนทางเลือก 5.93% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 8.49% และตราสารทุนต่างประเทศ 0.95%
นายวิสิฐกล่าวว่า แผนการลงทุนในปี 2549 นั้น กบข.คาดว่าสินทรัพย์สุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 แสนล้านบาท จากสินทรัพย์สุทธิ 2.8 แสนล้านบาท โดยในปีนี้ กบข.จะขยายการลงทุนให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยขณะนี้กำลังรอการแก้ไขกฎกระทรวงการคลังที่เสนอขอเพิ่มวงเงินลงทุนในหุ้นจาก 20% เป็น 30% ซึ่งคาดว่าภายใน 2 เดือนจากนี้จะได้ข้อสรุป
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้น ทางกบข. เตรียมขยายสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จาก 1% ในปีก่อนเป็น 5-6% เนื่องจากพบว่าการลงทุนในต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความผันผวนน้อยกว่า โดยปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนสูงถึง 12% ขณะที่หุ้นในประเทศก็จะเพิ่มสัดส่วนจาก 14% เป็น 15-20% ในปีนี้ ซึ่งในปี 2548 นั้น กบข.มีกำไรจากการลงทุนในหุ้นถึง 20.1% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 7% เท่านั้น
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ในปีที่ผ่านมา ทาง กบข.ได้ลดอายุการถือครองพันธบัตรลงจากภาวะกระทบอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยได้มีการถือครองพันธบัตรอายุไม่เกิน 2 ปีเป็นส่วนใหญ่ แต่จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัวและคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 1-1.5% ทาง กบข. จึงมีการถือครองพันธบัตรในระยะยาวเพิ่มขึ้น คือ 2.5-2.6 ปี จากเฉลี่ยปีก่อนที่ถือครองพันธบัตร 1.7-1.8 โดยในส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศ อาจจะลดสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นมากขึ้น จาก 8% ในปีก่อนให้เหลือประมาณ 3% เนื่องจากเชื่อว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศซึ่งปี 48 อยู่ที่ 3.5% ไม่แตกต่างจากในประเทศมากนัก
นอกจากนี้ การที่ตลาดอนุพันธ์ที่กำลังจะเปิดการซื้อขายในเดือนเมษายนนี้ กบข.จะนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ในการจัดการการลงทุนด้วย เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนและเพิ่มผลตอบแทนให้สมาชิก ซึ่งเงินลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาทที่กบข.ลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ การมีตลาดอนุพันธ์เกิดขึ้นจะสามารถช่วยลดความผันผวนของตลาดได้
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|