"ให้ผมทำอีก 10 โครงการผมก็ยังทำได้" คำกล่าวด้วยความมั่นใจนี้ออกจากปากของเปรมชัย
กรรณสูต ประธานบริหารอิตาเลียนไทยดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เมื่อต้องกลายเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายเดียว
ซึ่งรับงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างระบบขนส่งขนาดใหญ่ทุกโครงการของกรุงเทพมหานครในขณะนี้
ในห้วงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ อันทำให้บริษัทก่อสร้างหลายรายไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต้องพับฐาน
รอคอยความหวังในขณะนี้
และเป็นยุคที่บุตรชายคนเดียวของนายแพทย์ชัยยุทธ กรรณสูต ต้องรับภาระงานใหญ่ต่อจากบิดา
หลังจากที่กลุ่มอิตัลไทยเคยผงาดสูงสุดมาแล้วเมื่อครั้งรัฐบาลของพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ เพราะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ในสมัยนั้นต้องมีชื่อของกลุ่มอิตัลไทยเข้าไปร่วมอยู่ด้วยทุกครั้ง
ปัจจุบันโครงการระบบขนส่งมวลชนที่ใกล้แล้วเสร็จอย่างรถไฟฟ้าธนายงของบริษัท
ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ บีทีเอส อันเป็นระบบขนส่งมวลชนระบบแรกของชาวกรุง
ซึ่งมีการประมาณการว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้กลางปีหน้าแม้จะประสบปัญหาอย่างหนักในเรื่องการก่อสร้าง
และผลกระทบที่เกิดกับการจราจร จนกระทั่งผลกระทบกับเจ้าของโครงการคือ บีทีเอส
ในเครือธนายงในเรื่องของเงินค่าก่อสร้างที่เคยติดค้างคาใจกันอยู่ แต่อิตัลไทยก็ยังสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้
โครงการที่อิตัลไทยเตรียมตัวอย่างเต็มที่ก็คือ การลงมือขุดเพื่อก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินขององค์การรถไฟฟ้ามหานครหรือ
รฟม. หลังการออกแบบเสร็จเรียบร้อย หลังการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา
นับได้ว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งกำลังเงิน และความสามารถในการก่อสร้างแบบใต้ดินมากที่สุดโครงการหนึ่งของอิตัลไทย
โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินส่วนเหนือช่วงห้วยขวาง-บางซื่อ ระยะทาง 10 กิโลเมตร
ซึ่งอิตัลไทย เข้าร่วมมือตั้งบริษัท กิจการร่วมค้า ION โดยมีบริษัทโอบาชิ
คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท นิชิมัสซึ คอนสตรัคชั่น จำกัด เพื่อเป็นผู้ออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างใต้ดินส่วนเหนือ
ในวงเงินที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว 30,548.5 ล้านบาท
นอกจากโครงสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้า ยังมีสถานีให้บริการผู้โดยสารอีก 9 สถานีคือ
สถานีเทียมร่วมมิตร ประชาราษฎร์บำเพ็ญ สุทธิสาร รัชดา ลาดพร้าว พหลโยธิน
หมอชิต กำแพงเพชร และบางซื่อ
โดยตามแผนงานคาดว่าหลังการเริ่มก่อสร้างในปี 2541 กำหนดแล้วเสร็จจะเปิดให้บริการได้ในปี
2546
ทั้งนี้การจัดหาแหล่งเงินกู้ ทาง รฟม. จะเป็นผู้ประสานงานกับกระทรวงการคลัง
และสำนักงบประมาณในการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินกู้ โดยได้เงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนจากรัฐบาลญี่ปุ่น
จากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจโพ้นทะเล หรือโออีซีเอฟ จำนวน 26,586 ล้านเยน
หรือประมาณ 6,330 ล้านบาท
อันเป็นโอกาสที่สำคัญของอิตัลไทยกับงานระบบอุโมงค์ระบบขนส่งมวลชนใต้ดินครั้งแรกของกรุงเทพฯ
หลังจากที่พ่ายแพ้การประมูลก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินส่วนใต้จากหัวลำโพง ถึงสะพานพระราม
9 ให้กับกลุ่มบริษัทร่วมค้า บีซีเคที ของ ช. การช่าง
และการชิงชัยเพื่อให้ได้มาของการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินและสถานีบริษัท
กลุ่มร่วมค้าไอโอเอ็นของ อิตัลไทย เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยเข้าชิงชัยรอบสุดท้ายกับกลุ่มบริษัทอีก
4 ราย อันประกอบด้วย กลุ่มบริษัทร่วมค้า บีซีเคที กลุ่มบริษัท ยูโร เอเชีย
เมโทร กรุ๊ป กลุ่มบริษัท สยาม/นิปปอน เมโทร คอนซอร์เตียม และกลุ่มบริษัท
ไทยเยอรมัน ซับเวย์ กรุ๊ป
แต่อิตัลไทยก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้ในที่สุด
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐเต็มที่ อิตัลไทยซึ่งมีบริษัทร่วมค้าจากญี่ปุ่นถึง
2 บริษัทแม้จะมีปัญหาเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นราคาอยู่บ้าง แต่เงินที่นำมาใช้ในโครงการนั้นไม่ใช่อุปสรรค
โดยเงินกู้ที่นำมาใช้ในโครงการก็เป็นเงินเยนถึง 60%
และนับได้ว่าเป็นระบบขนส่งใต้ดินที่ประเทศไทยฝันมาตั้งแต่ปี 2526 ว่าควรจะมีระบบรถไฟฟ้าใต้ดินให้บริการประชาชน
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนทำการก่อสร้างและเปิดให้บริการไปนานหลายปีแล้ว
นอกเหนือจากนี้ อิตัลไทยยังได้รับคัดเลือกจาก รฟม. ให้เป็นผู้ก่อสร้างศูนย์การซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า
รฟม. ที่บริเวณห้วยขวางอีกโครงการหนึ่งด้วย เป็นการต่อพ่วงโครงการอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน
และตัวอาคารสถานีใหญ่
นับได้ว่าอิตัลไทยเป็นผู้รับเหมาที่รับงานการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้
เพราะขณะนี้อิตัลไทยก็อยู่ในระหว่างการเจรจากับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย)
จำกัด เพื่อรับเหมาเป็นผู้ก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนทางด่วนและทางรถไฟยกระดับโฮปเวลล์ช่วงอโศกถึงยมราช
ระยะทาง 7 กิโลเมตร หากโฮปเวลล์สามารถต่อรองกับกระทรวงคมนาคมให้ทำการต่ออายุสัมปทานโครงการทางรถไฟยกระดับต่อไปได้อีก
แม้อิตัลไทยยังไม่ได้ก้าวข้ามเข้าไปในการเป็นผู้ถือหุ้นของโครงการทางรถไฟและถนนยกระดับโฮปเวลล์ตามที่เคยตั้งความหวังไว้
และเคยต่อรองกับกอร์ดอน วู เพื่อซื้อหุ้นบริษัท โฮปเวลล์ ไม่ต่ำกว่า 50%
อันเท่ากับเป็นการครอบงำกิจการ เพราะได้รับการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยจากฝ่ายฮ่องกง
อิตัลไทยยังได้รับบทหนักในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างก็คือ งานถมทรายเพื่อปรับพื้นที่ก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งที่
2 ที่หนองงูเห่ามูลค่ากว่า 11,650 ล้านบาท เพราะเป็นการจ้างเหมาถมทรายมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมาอันเป็นเหตุให้กระทรวงคมนาคมต้องปรับเปลี่ยนโครงการ
ยังรวมไปถึงงานสร้างทางด่วยซึ่งอิตัลไทยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่กับโครงการทางด่วนขั้นที่
3 ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น
แม้จะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่ต้องรับงานโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ
และปรากฏการณ์เรื่องค่าเงินบาทที่ถูกประกาศให้ลอยตัว ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการทำโครงการใหญ่ได้
"เราเป็นบริษัทใหญ่ มีการทำงานเป็นระบบ" อันเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถนำพาบริษัทให้อยู่รอดต่อไปได้
ทั้งนี้เปรมชัยประมาณการว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับค่าเงินบาทครั้งนี้
จะทำให้ค่าวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8%-10% ซึ่งก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่จนเกินไป
จนทำให้อิตัลไทยถึงกับแบกรับไม่ได้
และงานโครงการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการก็จะมีการบวกสำรองเผื่อเอาไว้แล้ว
เป็นการประกันความเสี่ยงของผู้รับเหมาได้ในระดับหนึ่ง
แม้ตอนนี้ ภาพของผู้รับเหมาอย่างอิตัลไทย จะไม่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนอย่างยิ่งใหญ่
เหมือนยุคของนายแพทย์ชัยยุทธที่ผ่านมา แต่ความเป็นอิตัลไทย ซึ่งได้รับงานก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ทั้งหลายก็บอกได้ถึงศักยภาพของบริษัทเอกชนรายนี้ว่า
ยังคงความเป็นอิตัลไทยไว้ได้อย่างเหนียวแน่น