ราคาหุ้นบางจากฯร่วง10สตางค์ สวนกระแสกำไรปี48โตกว่า13%


ผู้จัดการรายวัน(31 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ราคาหุ้น "บางจากปิโตรเลียม" ไม่รับข่าวผลงานงวดสิ้นปี 48 กำไร 2,925.79 ล้านบาท หรือโต 13.25% เนื่องจากค่าการกลั่นน้ำมันพุ่งสูงกว่าปีก่อน อันเป็นผลจากการเกิดพายุเฮอริเคนในสหรัฐฯ ทำให้โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ หยุดการกลั่น ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลถีบตัวสูง

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP วานนี้ (30 ม.ค.) เปิดตลาด มาบวกทันที 10 สตางค์ โดยเปิดที่ 13.90 บาท ก่อนปรับลงมาที่ 13.80 บาท เปิดตลาดช่วงบ่ายลดลงที่ 13.70 บาท ก่อนปรับเพิ่มอีก 10 สตางค์ หลังบริษัทแจ้งงบการเงินก่อนสอบทาน งวดสิ้นปี 48 พบว่ากำไรเพิ่ม 13.25% แต่ก็นิ่งที่ราคา 13.70 บาท ปิดตลาดที่ 13.70 บาท ลดลง 10 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 5.80 ล้านบาท

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP แจ้งงบ การเงินก่อนสอบทานงวดสิ้นปี 48 ว่ามีกำไรสุทธิ 2,925.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร สุทธิ 2,636.42 ล้านบาท ส่งผลให้กำไร สุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 3.02 บาท เป็น 4.35 บาทต่อหุ้น หรือกำไรเพิ่ม 13.25%

ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้รวม 85,035 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) +4,572 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (หักลบดอกเบี้ยรับ) 620 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 779 ล้านบาท มีภาษีเงินได้ 277 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 2,926 ล้านบาท (เปรียบเทียบกับปี47 มีผลกำไรสุทธิ 2,613 ล้านบาท)

เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) 3.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันของภูมิภาคได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบ กับกำลังการผลิต ส่งผลให้กำลังการผลิตส่วนเกินใกล้หมดไป ค่าการกลั่นจึงมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ขณะเดียวกันโรงกลั่นหลายแห่ง ในสหรัฐฯ ได้หยุดดำเนินการจากเหตุการณ์พายุเฮอริเคน ส่งผลให้ราคา น้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวเพิ่ม สูงขึ้นอย่างมากซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาสู่ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์และค่าการ กลั่นในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จ รูปชนิดอื่น ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องลดการใช้กำลังการกลั่นลง เพื่อลดปริมาณการผลิตน้ำมันเตาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและรักษาระดับค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง โดยเลือกจำหน่ายเฉพาะในตลาดที่มีกำไร
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 2,313 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 2,176 ล้านบาท จากราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีก่อน และปี 48 โดยในไตรมาสที่ 3 ที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์จากเหตุการณ์พายุเฮอริเคนในประเทศสหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลและ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ

ดังนั้นปี 48 บริษัทฯ มีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ระดับ 5.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 62 พันบาร์เรลต่อวันต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 90 พันบาร์เรลต่อวัน และบริษัทฯ มีค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) อยู่ที่ระดับ 15.4 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ที่ระดับ 43.0 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับราคาขายปลีกได้ช้ากว่าต้นทุนที่มีการปรับตัวขึ้น และยังมีผลกำไรจากการขายน้ำมันเครื่องบิน จำนวน 118 ล้านบาท หรือ 33.8 สตางค์ต่อลิตร

ทั้งนี้ ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจการตลาดอยู่ที่ระดับ 53 พัน บาร์เรลต่อวัน ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 56 พันบาร์เรลต่อวัน จากการที่บริษัทฯได้เลือกที่จะจำหน่ายในเฉพาะตลาดที่มีกำไรสูงในช่วงที่มีการจำกัดกำลังการผลิตขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 1,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 256 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น

บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 620 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 148 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการทยอยแปลงสภาพของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพรวมจำนวน 1,774 ล้านบาทตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 47 เป็นต้นมา ประกอบกับได้มีการทยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่มีอัตรา ดอกเบี้ยสูง ด้วยเงินกู้ใหม่จากธนาคาร กรุงไทยซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.