|
ถึงยุคทุนนอกกลืนทุนไทยแผ่อาณาจักรสู่ภูมิภาคเอเชีย
ผู้จัดการรายสัปดาห์(30 มกราคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
*จับตากลุ่มทุนจากแดนลอดช่อง กรีฑาทัพยึดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย หวังขยายอาณาจักรสู่ภูมิภาคเอเชีย
*เผยรายใหญ่ในตลาดล้วนจับมือทุนนอก สร้างความแข็งแกร่งองค์กร รับศึกการแข่งขันเดือด
*เอส.ซี.แอสเสท ใต้ร่วมเงาชิน คอร์ป -โกลเด้น แลนด์ กำลังทาบทุนนอกเข้าร่วมทุนต่อยอดธุรกิจ
*ฟันธงอีก 3 ปีข้างหน้า จัดสรรรายใหญ่จะมียอดขายแตะหมื่นล้าน 5-6 ราย
อุณหภูมิการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ธุรกิจเริ่มโงหัวขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่ต้องเร่งขยายอาณาจักร สร้างความแข็งแกร่งให้องค์กร ผลักดันองค์กรให้เติบโตขึ้น ในช่วงที่คู่แข่งอีกหลายรายยังอยู่ในภาวะอ่อนแรง
การสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร นอกเหนือจาการจัดทัพ ปรับองค์กร ปรับรูปแบบการบริหารจัดการ บริหารแหล่งเงินทุน และการบริหารสต็อก ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในยุคการแข่งขันรุนแรง
รวมถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเร่งจัดทำ เพื่อให้สามารถยืดหยัดอยู่บนสนามการแข่งขันได้อย่างไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อธุรกิจ
เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ถูกงัดออกมา เพื่อฟาดฟันกับคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด เครื่องมือทางเงินเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น การจับมือกับพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งทางการเงินย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการ
ทุนสิงค์โปร์-ฮ่องกงบุกไทย
กลุ่มทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียรู้ว่า ผู้ประกอบการไทยต้องการหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งทางเงิน และมีโนฮาวในการบริหารจัดการที่ดี จึงได้ฉวยโอกาสนี้เข้ามาลงทุนในไทย เพราะเห็นว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 8% นับเป็นตัวเลขที่สวยหรู ทำให้กลุ่มทุนสิงค์โปร์ และฮ่องกงเดินหน้าเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
โดยปัจจุบัน กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ติดอันดับท็อปไฟล์ในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในไทยแล้วทั้งนั้น เริ่มจากกลุ่มทุนจากสิงคโปร์คือ GIC ที่เข้ามาลงทุนในกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทำให้แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง ,การเข้ามาลงทุนของแคปปิตอล แลนด์ที่จับมือกับราชันน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี รวมถึงการเข้ามาด้วยตัวเองของกลุ่มแคปเปล แลนด์ ,โฮเต็ล พร็อพเพอร์ตี้ ที่เข้ามาทำโครงการ The Met บริเวณถนนวิทยุ และกลุ่มซิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ ที่เข้ามาซื้อที่ดินแปลงใหญ่ที่สุขุมวิท ซอย 18 และซื้ออาคารภรภัทร อโศก โดยซิตี้ฯ เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับสองของสิงคโปร์
ล่าสุด คือการเข้ามาร่วมทุนกับบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดยพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคเลือกที่จะร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากฮ่องกง คือกองทุนไพรฟันด์ General Enterprise Management Services Limited หรือGAMS ขณะที่กรุงเทพบ้านและที่ดิน ร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ คือกลุ่ม"เฟรเชอร์ แอนด์ นีฟ" ซึ่งนับเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ในสิงคโปร์ และหลายประเทศทั่วโลก โดยเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 33%
ยังไม่รวมบริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ถือหุ้นสัดส่วน 0.97% มีแผนที่จะดึงกลุ่มนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ และฮ่องกงเข้ามาร่วมทุน ซึ่งอาจจะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทราว 10-20% ในลักษณะการเข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุน ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน เพื่อนำเงินทุนไปชำระหนี้เจ้าหนี้ และเสริมสภาพคล่องรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยปัจจุบันมีทุนข้ามชาติถือหุ้นแล้วในสัดส่วน 32.60%
ยุครายใหญ่แข่งกันเอง
ชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ยุคนี้เป็นยุคการแข่งขันของบริษัทใหญ่ ๆ เพราะผู้ประกอบการรายเล็ก และรายกลางจะถูกคัดออกจากตลาดโดยอัติโนมัติจากนโยบายเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และความไม่เชื่อมั่นต่อบริษัทของลูกค้า จึงทำให้การแข่งขันกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ และเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะมียอดขายและมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น เกือบทุกราย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้องค์กรเติบโต และขยายโครงการได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จำเป็นคือ แหล่งเงินทุน ซึ่งใครมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งและต้นทุนต่ำ จะเป็นผู้ได้เปรียบในการแข่งขัน แหล่งเงินทุนที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ขยายการลงทุนหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้เงินทุนจากต่างประเทศ เพราะมีต้นทุนต่ำกว่าการกู้จากสถาบันการเงินในประเทศที่ต้องเสียดอกเบี้ยสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น และจะเพิ่มขึ้นอีกจนถึงกลางปีนี้ ก่อนที่จะคงที่
ชายนิด กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ และฮ่องกงที่เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ติดอันดับท็อป เทนในสิงคโปร์และฮ่องกงอีกหลายกองทุนกำลังจะเข้ามาลงทุนในไทยอีกมาก ซึ่งการเข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามาในรูปแบบการร่วมทุนกับผู้ประกอบการจัดสรรขนาดใหญ่ ที่มีสเกลใหญ่เพียงพอที่กองทุนจะเข้ามาร่วมทุน โดยเพอร์เฟค และบริษัทในเครือก็ได้ร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากฮ่องกง และสิงคโปร์แล้ว (อ่านข่าว"เพอร์เฟค"ดึงมือขวา"ลีกาซิง"ประกอบ)
ชี้SC-GOLDทาบต่างชาติร่วมทุน
นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในเครือชินคอร์ป และบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่น่าจะได้กลุ่มต่างชาติเข้ามาร่วมทุน ซึ่งชายนิดบอกว่า ให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของสองบริษัทนี้แบบอย่ากระพริบตา
แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สองบริษัทนี้ จะมีกลุ่มทุนข้ามชาติเข้ามาร่วมทุน เพราะเอสซีฯเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปที่มีความแข็งแกร่งขององค์กร และมีแลนด์แบงก์ในทำเลทองจำนวนมาก อีกทั้งธุรกิจไอที ที่เป็นแหล่งสร้างขุมทรัพย์ให้กับตระกูลชินวัตรได้ถูกขายออกไปให้กลุ่มเทมาเซ็ก ประเทศสิงคโปร์แล้ว ชินคอร์ปน่าจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล ภายในเวลารวดเร็ว
ขณะที่กลุ่มแผ่นดินทองฯหรือโกลเด้นท์แลนด์ เป็นบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่มีผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มทุนข้ามชาติหลายราย อาทิ MORGAN STANLEY & CO INTERNATIONAL LIMITE , GOLDMAN SACHS INTERNATIONAL และJ.P. MORGAN BANK LUXEMBOURG S.A.6 ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มทุนข้ามชาติ เพื่อเข้ามาร่วมทุนในโกลเด้นท์แลนด์ด้วย
รวมถึงกลุ่มเจริญ สิริวัฒนภักดี ราชันน้ำเมา เป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้หลักจากธุรกิจน้ำเมา ยังเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการร่วมทุนกับแคปปิตอล แลนด์ สิงคโปร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจ และเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นแหล่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และได้รับผลกระทบจากการเมืองน้อยกว่าธุรกิจน้ำเมา
เชื่อ3ปี ยอดขายแตะหมื่นลบ.
ชายนิด กล่าวอีกว่า การร่วมทุนกับพันธมิตรข้ามชาตินั้น จะทำบริษัทดังกล่าวมีความแข็งแกร่งขึ้น ทั้งด้านการเงิน การบริหารจัดการ การลดต้นทุน และโนฮาว ซึ่งภายในไม่เกิน 3 ปี จะมีบริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ ที่มียอดขายเกิน 10,000 ล้านบาทท อีกประมาณ 5-6 ราย
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทที่มียอดขายเกิน 10,000 ล้านบาท คือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ที่มียอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท ขณะที่เพอร์เฟครวมบริษัทในเครือ คือกรุงเทพบ้านและที่ดินจะมียอดขายแตะหมื่นล้านบาทใน 2-3 ล้านบาทข้างหน้าเช่นเดียวกับ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ ,บริษัท ศุภาลัย และบริษัท แสนสิริและบริษัทในเครือ ที่ประกาศแล้วว่าจะมียอดขายแตะหลักหมื่นล้านบาท ใน2-3 ปีข้างหน้า
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|