MAJOR เสริมทัพขุนพล


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังจากปีที่แล้วสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงโทรคมนาคมด้วยการลาออกจากตำแหน่งรองกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดของเอไอเอส โอเปอเรเตอร์โทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งของไทยด้วยเหตุผลตรงไปตรงมาว่า ต้องการใช้เวลาไปสร้างสมาชิกใหม่ของครอบครัว เมื่อเวลาผ่านไปนาน 9 เดือนความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่สัมฤทธิผล ไม่สามารถให้กำเนิด "กฤษณันน้อย" ได้สมใจ มาปีนี้กฤษณัน งามผาติพงศ์ ตกลงใจหวนสู่แวดวงธุรกิจอีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่ง ซีอีโอ หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป แทน วิชา พูลวรลักษณ์ ผู้ก่อตั้ง ซึ่งยังคงรั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเอาไว้

"ทุกปีเรามีการจัดทัพกันอยู่แล้ว แต่ปีนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่และเป็นครั้งสำคัญ" วิชากล่าว

ที่ว่าเป็นครั้งใหญ่ก็เพราะนอกจากกฤษณันแล้วยังมีผู้บริหาร ใหม่ที่เข้าร่วมงานกับเมเจอร์อีก 2 รายด้วยกัน ได้แก่ อรวรรณ กอวัฒนา ซึ่งโยกย้ายมาจากบริษัท แมคไทย เข้ามารับตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ Chief Service Operation รับผิดชอบในส่วนงานบริการของธุรกิจโรงภาพยนตร์ และอาทร เตชะตันติวงศ์ ย้ายมาจากเอไอเอสเช่นเดียวกับกฤษณัน เข้ารับตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ Chief Bowling Business ดูแลธุรกิจโบว์ลิ่งทั้งหมดของเครือเมเจอร์

ส่วนบทบาทหน้าที่ของกฤษณันจะดูแลในการบริหารงานทั้งหมด รวมทั้งด้านยุทธศาสตร์การตลาดและไอที ขณะที่วิชาจะดูแลนโยบายในภาพรวมและจะโฟกัสไปที่การหาโลเกชั่น รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

นวัตกรรมแรกที่เมเจอร์จะเริ่มนำมาใช้ในปีนี้จะประเดิมที่สาขาสยามพารากอนเป็นแห่งแรกก็คือ mobile ticket ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถจองและซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ได้จากภายในบริเวณสยามพารากอน โดยไม่ต้องไปซื้อตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าและลดความแออัดที่หน้าเคาน์เตอร์ไปได้มาก และหากประสบความสำเร็จจะขยายออกสู่สาขาอื่นๆ ต่อไป

ระบบการจองตั๋วภาพยนตร์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่วิชาตั้งใจจะนำมาใช้ให้ได้ภายในปีนี้ โดยระบบนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถจองตั๋วชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้นานหลายสัปดาห์ ด้วยการจองผ่านช่องทาง ที่หลากหลาย อาทิ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และลูกค้าสามารถเลือกที่จะชำระเงินทันทีหรือจะมาชำระเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ก็ได้ และยังสามารถสั่งพิมพ์ตั๋วได้เองอีกด้วย

"ที่อเมริกาสัดส่วนตั๋วหนัง 40% มาจากการจองล่วงหน้าปีที่ผ่านมาเราขายตั๋วได้ 24 ล้านใบ ถ้าเราทำระบบการจองได้แล้วขายตั๋วเพิ่มได้อีก 10% โดยที่มีต้นทุนเท่าเดิมจะทำให้รายได้เราเพิ่มอีกมหาศาล" วิชากล่าว

นอกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้ว ในปีนี้เมเจอร์ฯยังเตรียมงบลงทุนเพื่อขยายสาขาเพิ่มอีก 700 ล้านบาท แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ 7 สาขาและโบว์ลิ่งอีก 100 เลน ทำให้ยอดรวมที่นั่ง ภายในสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 75,000 ที่นั่งจากสิ้นปีที่แล้วที่มี 60,000 ที่นั่ง และคาดว่าจะช่วยให้รายได้รวมในปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 25-30% จากรายได้ของปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 4,000 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.