|
ผู้ประกอบการอิฐมวลเบาเกาะบ้านราคาถูกดีไซน์โปรดักส์เจาะจัดสรร-บ้านเอื้ออาทร
ผู้จัดการรายวัน(26 มกราคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
"ซุปเปอร์บล๊อก" เชื่อยอดขายโตอิงตลาดอสังหาฯ หลังจัดสรรหันเจาะลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ด้านผู้ประกอบการรักษาระดับกำลังผลิตตามดีมานด์ในตลาด คาดกำลังผลิตตลาดรวม12ล้านตร.ม. ขณะที่ความต้องการใช้พุ่งแตะ 17-18ล้านตร.ม. เล็งปรับราคาขึ้น 8-15% ตามต้นทุนการผลิต ส่วนค่าย"DCON" เจาะบริษัทรับเหมาบ้านเอื้ออาทร หวังต่อยอดการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมออก 3 โปรดักส์ใหม่เจาะตลาดบ้านถูก คาดดันรายได้เพิ่ม 70-80%
นายจอมทรัพย์ โลจายะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบา (Autoclaved Aerated Concrete) หรือ AAP เปิดเผยถึงตลาดรวมอิฐมวลเบาว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ใช้อิฐมวลเบาในการก่อสร้าง มีอัตราการขยายตัวที่ลดลง เนื่องมาจากลูกค้ามีการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย จากปัจจัยการขึ้นราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการผลิตอิฐมวลเบามีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ซึ่งผู้ผลิตได้ประมาณการว่า ความต้องการในตลาดจะมีอัตราการขยายตัวตามตลาดอสังหาฯ
โดยตลาดรวมในปีที่ผ่านมา มีการผลิตอิฐมวลเบาออกสู่ตลาดประมาณ 15 ล้านตารางเมตร ส่งผลให้เกิดโอเวอร์ซับพลาย ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดนำกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคาเข้ามาใช้ แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเริ่มลดกำลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งผลให้ในต้นปีดีมานด์และซัปพลายกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลย์ ล่าสุดดีมานด์เริ่มปรับตัวสูงขึ้นกว่าซัปพลายในตลาดตามอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาฯ
ทั้งนี้ เนื่องจากในปี49 ผู้ประกอบการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เริ่มปรับกลยุทธ์หันมาสร้างบ้านหลังเล็กลงและราคาต่ำลง เพื่อรองรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดที่ลดลง จากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหันมาสร้างบ้านในระดับราคา 3-5 ล้านบาท จากเดิมที่ในช่วงปี48 ที่ผ่านมาผู้ประกอบการเน้นเจาะกลุ่มตลาดระดับกลางมากขึ้น ทำให้ความต้องการในตลาดอิฐมวลเบาเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในปี2549 ตลาดหันมาแข่งขันด้านคุณภาพและบริการมากขึ้น
สำหรับในปีนี้ คาดว่าความต้องการในตลาดรวมจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 17-18 ล้านตารางเมตร ส่วนกำลังการผลิตโดยรวมในตลาดคาดว่าจะมีการผลิตอิฐมวลเบาเข้าสูตลาดประมาณ 12 ล้านตารางเมตร ซึ่งจำนวนการผลิตดังกล่าว จะมากกว่าจำนวนที่บริษัทประมาณการหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้กำลังผลิตของ บริษัท ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) หรือคิวคอน ว่าจะมีการผลิตสินค้าออกสูงตลาดมากเท่าใด ซึ่งในส่วนของบริษัทเอง คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเต็มที่ประมาณ 4 ล้านตารางเมตร จากกำลังการผลิตเต็มกำลัง 5 ล้านตารางเมตร ซึ่งกำลังการผลิตดังกล่าวยังไม่ได้นับรวมกำลังการผลิตในโรงงานแห่งที่3 คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในเร็วๆ นี้
นายจอมทรัพย์ กล่าวว่า ในปี 2547 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 329 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายสุทธิ 97 ล้านบาท ส่วนในปี2549 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเต็มกำลังการผลิต4 ล้านตารางเมตร โดยจะมีการปรับราคาขายขึ้นอีกประมาณ 8-15% ตามต้นทุนแปรผันของบริษัทและช่วงฤดูการขาย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นมา 5-15% โดยบริษัทได้หันไปใช้พลังงานจากถ่านหินแทนการใช้น้ำมันเตา ทำให้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงการผลิตลดลงประมาณ 25%
สำหรับปี49 นี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ แผนพับและวารสารถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ซึ่งได้ผลดีกว่าการทำตลาดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และนอกจากนี้จะเน้นการให้ความรู้กับนักศึกษาคณะวิศวกรรมและสถาปนิคในสถาบันต่างๆ และวิศวกรก่อสร้าง โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณด้านการตลาดประมาณ 5% ของรายได้
" การที่อิฐมวลเบา LCL จะเข้ามาแทนที่ตลาดอิฐมวลเบา AAP ได้นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะหากลูกค้าที่เลือกใช้อิฐมวลเบาแทนอิฐมอญแล้ว เชื่อว่าทุกรายต้องการสินค้าที่คุณภาพสูง ในขณะที่ อิฐมวลเบาระบบ LCL จะมีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพแตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการเข้ามาแทนที่ของอิฐมวลเบา LCLคงจะเป็นไปไม่ได้ "นายจอมทรัพย์กล่าว
เจาะบริษัทรับเหมาบ้านเอื้ออาทร
ด้านนายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นสำเร็จรูปและเสาเข็มอัดแรงภายใต้ยี่ห้อ "DCON" กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้ตัดสินใจขยายกำลังการผลิตสินค้าใหม่คอนกรีตมวลเบา CLC (Cellilar light Weight Concrete) ซึ่งใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตคอนกรีตมวลเบาได้วันและ 600 ลบ.ม.ต่อวัน หรือ 3 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเดินกำลังการผลิตได้ในกลางปี2548 แล้วนั้น บริษัทคาดว่าจะเดินเครื่องผลิตได้ในเดือน พ.ค.นี้ หลังจากที่ทดสอบระบบการผลิตทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
โดยตลาดของอิฐมวลเบาในปีนี้จะยังอิงกับตลาดบ้านจัดสรรเหมือนเดิม โดยในปีนี้บริษัทจะเข้าไปทำตลาดในโครงการจัดสรรในกลุ่มบ้านระดับ 3-5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนขยายสินค้าอิฐมวลเบาได้มากขึ้น เนื่องจากที่อยู่อาศัยในระดับราคาดังกล่าว จะหันมาใช้อิฐมวลเบาระบบ CLC ทดแทนอิฐมวลเบา ระบบ AAP ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้มากขึ้น เนื่องจากระดับราคาถูกกว่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะออกสินค้าตัวใหม่ 3 ตัวประกอบด้วย แผ่นพื้น ,เสาเข็ม และรั้ว โดยจะเปิดตัวและเริ่มขายสินค้าดังกล่าวในช่วงเดือน มิ.ย. 49 นี้ เน้นเจาะตลาดในกลุ่มบ้านราคาถูกที่ก่อสร้างด้วยระบบสำเร็จรูป ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับเหมาลดค่าออกแบบก่อสร้างลงไป โดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาระดับ 3ล้านบาทลงไป และบ้านเอื้ออาทร ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังเจรจากับผู้รับเหมาบ้านเอื้ออาทรอยู่ ทั้งนี้ การออกสินค้าใหม่จะทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 70-80% หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 300-400 ล้านบาท จากเดิมที่บริษัทมียอดขายจากในกลุ่มวัสดุก่อสร้างรวม 640ล้านบาทในปี2548
โดยบริษัทจะเน้นการทำตลาดโดยการให้ความรู้กับวิศวกรและสถาปนิก มากขึ้น รวมถึงการทำตลาดที่เน้นสื่อสิ่งพิมพ์ และวารสารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง คาดว่าจะใช้งบประมาณด้านการตลาดประมาณ 1-2 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|