เมอร์ชั่นฯเปิดห้องค้า2-3แห่งปีนี้


ผู้จัดการรายวัน(25 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ตั้งเป้าภายใน 2 ปีข้างหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มุ่งเน้นจับลูกค้ารายย่อยระดับสูงที่มีพอร์ตซื้อขายในระดับไม่ต่ำกว่า10-20 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีนี้อยู่ในระดับ 0.5% พร้อมเปิดทางให้พันธมิตรต่างประเทศเข้าร่วมถือหุ้นหรือร่วมทำธุรกิจเตรียมดันหุ้นใหม่เข้าระดมทุน 2-3 บริษัท

นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใน 2 ปีข้างหน้าเพราะการเป็นบริษัทจดทะเบียนจะทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและสามารถนำเงินไปขยายธุรกิจได้โดยขณะนี้จะต้องรอให้บริษัทมีความพร้อมในด้านต่างๆ เสียก่อนหลังจากที่บริษัทเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่ถึงปีรวมถึงจะต้องรอจังหวะภาวะตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยอีกด้วย

สำหรับแผนงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีมาร์เกตแชร์ในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ประมาณ 0.5% จากปัจจุบันนี้อยู่ที่ระดับ 0.1%และมีลูกค้าเปิดบัญชีประมาณ 200-300 บัญชีและตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้จำนวนบัญชีจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวโดยฐานลูกค้าของบริษัท 90% จะเป็นนักลงทุนรายย่อย ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นนักลงทุนรายย่อยที่มีกำลังซื้อมากซึ่งจะมีพอร์ตการซื้อขายขั้นต่ำในระดับประมาณ 10-20 ล้านบาท ส่วนสัดส่วนอีก 10% จะเป็นนักลงทุนประเภทกองทุนต่างประเทศซึ่งบริษัทมีกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกองทุนที่มีขนาดเล็กที่มีขนาดประมาณ 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 400-800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกองทุนจากยุโรป สหรัฐและเอเซียโดยกองทุนเหล่านี้บริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ๆ อาจจะให้ความสนใจไม่มากนัก

นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์แห่งแรกที่เยาวราชภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้และคาดว่าทั้งปีจะเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์ได้ประมาณ 2-3 แห่ง ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีมาร์เกตแชร์เพิ่มมากขึ้น ส่วนในด้านธุรกิจด้านวาณิชธนกิจนั้นขณะนี้บริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 5 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้จำนวน 2-3 บริษัทซึ่งจะมีขนาดระดมทุนโดยเฉลี่ยประมาณ 500 ล้านบาทคาดว่าบริษัทแรกที่จะเข้าจดทะเบียนประมาณปลายไตรมาสแรกหรือต้นไตรมาส 2 นี้

นายเกษมสิทธิ์กล่าวว่าในส่วนของงานวิจัยนั้นบริษัทจะพิจารณาจากภาพรวมเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไรเช่นในช่วงที่ถ้าเป็นช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะมองว่าหุ้นกลุ่มใดที่ได้รับประโยชน์ เช่นกลุ่มส่งออกซึ่งก็จะพิจารณาว่าหุ้นกลุ่มส่งออกบริษัทใดที่มีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนเป็นต้นและบริษัทยังมีแผนที่จะร่วมงานวิจัยกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับบริษัทหลักทรัพย์จากสิงคโปร์1 แห่ง และฮ่องกง 2 แห่ง

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาก็มีสถาบันการเงินจากต่างประเทศหลายแห่งติดต่อมายังบริษัทเพื่อที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งจะมีทั้งในลักษณะของการเข้ามาร่วมทุน หรือจะเป็นลักษณะร่วมทำธุรกิจเท่านั้น ซึ่งบล.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ พร้อมเปิดกว้างเสมอซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตกลงเจรจาร่วมกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

นายธรรมนูญ อานันโทโทย กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัดกล่าวว่าการเปิดเสรีทางการค้าหรือเอฟทีเอเชื่อว่าไม่น่ากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักทรัพย์มากนัก ถ้าเป็นลักษณะทยอยเปิดเสรีเพราะปัจจุบันนี้บริษัทหลักทรัพย์ของไทย 37แห่งถ้าพิจารณาส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ซึ่งมีจำนวนรวม 1.3หมื่นล้านบาทและคิดเป็น 67% ที่เป็นของต่างประเทศ และการเปิดเสรีจะทำให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจมากยิ่งขึ้นซึ่งอาจจะทำให้บริษัทหลักทรัพย์หลักทรัพย์ของไทยร่วมกับสถาบันการเงินต่างประเทศมากยิ่งขึ้นก็ได้

ทั้งนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากเมื่อพิจารณาจากตัวเลขบัญชีที่เปิดซื้อขายหุ้นในปัจจุบันที่อยู่ในระดับ4.3 แสนบัญชี ขณะที่ประชากรของไทยทั้งประเทศมีจำนวน 62ล้านคนดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ถึง 1% ดังนั้นจะต้องทำให้คนมองว่าตลาดหุ้นเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการลงทุนซึ่งที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลก็พยายามที่จะสนับสนุนให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.