เอไอเอขอลุยตปท.เพิ่ม อ้างพันธบัตรขาดตลาด


ผู้จัดการรายวัน(20 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

เอไอเอดิ้นขอลงทุนต่างประเทศเพิ่มจากเดิมได้รับวงเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อ้างเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน แถมพันธบัตรระยะยาวในประเทศเริ่มขาดตลาด เผยกลยุทธ์ การลงทุนปีนี้ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกู้เอกชน การทำซีเคียวริไทเซชัน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ และตลาดหุ้นเพิ่ม เผยปี 48 ผลิตเบี้ยประกันรับรวมได้ 6.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% ตั้งเป้าปี 49 เบี้ยประกันรับปีแรกเพิ่ม 10% กำหนดให้เป็นปีแห่งชัยชนะ

นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) เปิดเผยว่า ผลการ ดำเนินงานของเอไอเอในปี 2548 ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2547-30 พฤศจิกายน 2548 เอไอเอสามารถผลิตผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยมีเบี้ยประกันรับรวมที่ผลิตได้ 64,375 ล้านบาท หรือเติบโต 6.3% มีกรมธรรม์ประกันชีวิตรายสามัญรายใหญ่เพิ่มขึ้น 645,490 ฉบับ หรือเพิ่มขึ้น 3.4% ส่งผลให้ปัจจุบันเอไอเอมีกรมธรรม์ประกันชีวิตรายสามัญที่มีผลบังคับมากกว่า 4 ล้านฉบับ ซึ่งหากรวมกับกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพแล้วจะมีกรมธรรม์รวม 5.3 ล้านฉบับ

สำหรับกลยุทธ์การตลาดและเป้าหมายปี 2549 เอไอเอกำหนดให้ปี 2549 เป็นปีแห่งชัยชนะ โดยจะยังคงใช้กลยุทธ์การตลาด Shift to Risk และ 15/50 ต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นราก ฐานที่ดีที่ทำให้บริษัทสามารถผลิตเบี้ยประกันรับปีแรกให้เติบโต 10% และเพิ่มรายกรมธรรม์ใหม่อีก 20% ตามที่บริษัทกำหนด

นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการลงทุน บริษัท อินเตอร์แนชชั่นแนล แอส ชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) กล่าวถึงพอร์ตการลงทุนของเอไอเอว่า ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 มีสินทรัพย์ลงทุน 2.8 แสนล้านบาท ลงทุนในพันธบัตรและรัฐวิสาหกิจ 75% โดยส่วนนี้ลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุยาวประมาณ 50% หุ้นกู้ 5% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4% เงินฝากในสถาบันการเงิน 2% หุ้นและหน่วยลงทุน 10% อื่นๆ 4% โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับ 7%

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจระยะยาว การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน หุ้นกู้ของภาคเอกชน และการทำซีเคียวริไทเซชัน ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจมากขึ้น เนื่องจากจะมีการขยายกำลังการผลิตของภาคเอกชนและโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะทยอยหาเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการภายในปีนี้

นายอนุชากล่าวว่า พอร์ตการลงทุนในต่างประเทศของเอไอเอในปีที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,000 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตจากกรมประกันภัยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอวงเงินเพิ่มจากเดิม เนื่องจากปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุยาว เริ่มขาดตลาด และที่สำคัญเอไอเอถือเป็นรายใหญ่ที่ลงทุนในพันธบัตรรระยะยาวของรัฐบาล

สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศของเอไอเอ ซึ่งกรอบการลงทุนให้สามารถ ลงทุนในพันธบัตรที่มีเรตติ้งในระดับ BBB ขึ้นไปเท่านั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2548 อยู่ที่ 6.75-7.5%

โดยปัจจุบันพันธบัตรที่มีอยู่ในตลาดมีประมาณ 1.1-1.2 ล้านล้านบาท เป็นพันธบัตรที่มีอายุยาวประมาณ 4 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10-15% ของพันธบัตรที่มีอยู่ เอไอเอเข้าไปลงทุน สูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งในขณะนี้เริ่มขาดตลาด เพราะกระทรวงการคลังมีนโยบายออกปีละ 40,000 ล้านบาทเท่านั้น ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของสินทรัพย์ของเอไอเอ

นายอนุชากล่าวว่า แนวโน้มพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มขาดตลาด ส่งผลให้เอไอเอต้องปรับกลยุทธ์การบริหารพอร์ตใหม่ และหันมาลงทุนใน หุ้นกู้ภาคเอกชนมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และแนวโน้มในปีนี้ภาคเอกชน จะหันมาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้น หลังจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับจากการเร่งหาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์

"ในปีที่ผ่านมาหลังจากกรณีที่มีผู้ประกอบการบางรายที่ออกตั๋วเงินระยะสั้น (บี/อี) ผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมองถึงคุณภาพของตราสารหนี้ และเครดิตมากขึ้น ทำให้หุ้นกู้ใหม่ที่จะออกมาในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำจนไม่น่าจูงใจในการลงทุน"นายอนุชากล่าว

สำหรับนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้นในปีนี้ เอไอเอในฐานะนักลงทุนสถาบันที่มีพอร์ตขนาดใหญ่ เตรียมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาด หุ้นมากขึ้น เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเอไอเอได้มีการลดน้ำหนักการลงทุน โดยปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นได้เพิ่มสัดส่วน เป็น 12%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.