"ขรรค์ชัย"ดึงช่อง7ถือหุ้นมติชน ให้ส่วนลด20%เหตุลงทุนยาว


ผู้จัดการรายวัน(17 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

"ขรรค์ชัย บุนปาน" ขายหุ้นมติชนจำนวน 15.51 ล้านหุ้นหรือ 7.57% ให้กับ 6 บริษัทซึ่งมีบริษัทในกลุ่มช่อง 7 เข้าร่วมถือหุ้น โดยขายในราคา หุ้นละ 9 บาทเศษ เป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าในกระดานประมาณ 20% ชี้เป็นการถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวไม่ได้เข้ามาร่วมบริหาร

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แจ้งว่าเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 นายขรรค์ชัย บุนปาน ได้ขายหุ้นบริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) (MATI)จำนวน 15,517,700 หุ้นหรือ 7.57% โดยเสนอขายให้กับ 6 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย บริษัทไซเบอร์ เวนเจอร์ จำกัด จำนวน 5,317,700 หุ้น,บริษัททุนรุ่งเรือง จำกัด จำนวน 2,050,000 หุ้น บริษัท มหากิจ โฮลดิ้ง จำกัดจำนวน 2,050,000 หุ้น, บริษัทสตรอง โฮลด์ แอสเซ็ทส์ จำกัด จำนวน 2,050,000 หุ้น, บริษัท บีบีทีวี แอสเซตแมนเนจเมนท์ จำกัด และ บริษัท จีแอล แอสเซทส์ จำกัด จำนวน 2,000,000 หุ้น

ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้นนั้น ทำให้นายขรรค์ชัยยังถือหุ้นบริษัทมติชนอยู่เป็นจำนวน 83,578,860 หุ้นหรือ 40.77%

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทาง การเงินหุ้นนายขรรค์ชัยเปิดเผยว่า การที่นายขรรค์ชัยได้ขายหุ้นออกมาจำนวน 7.57% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานายขรรค์ชัยได้หุ้นมาโดย ความจำเป็นทั้งจากการซื้อคืนจากบริษัทจีเอ็มเอ็มมีเดียจำนวน 12% และจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) อีกส่วนหนึ่ง

ทั้งนี้นายขรรค์ชัยถือหุ้นอยู่ประมาณ 48% ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องถือในสัดส่วนที่มากขนาดนี้ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะขายหุ้นออกมาส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการลดภาระของนายขรรค์ชัยซึ่งทำให้บล. กรุงศรีอยุธยาได้ติดต่อ 6 บริษัทให้เข้ามาซื้อหุ้นดังกล่าว ซึ่งเข้ามาซื้อ ในราคาหุ้นละ 9 บาทเศษซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาหุ้นในกระดานประมาณ 20% เพราะเป็นการขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)รวมถึงเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาเทนเดอร์ออฟเฟอร์ที่นายขรรค์ชัยเคยเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นรายย่อยในราคาหุ้นละ 11.10 บาท

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า บริษัททั้ง 6 ที่เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทมติชนนั้นจะเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทในเครือช่อง 7 ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะมีเพียงบริษัทไซเบอร์ เวนเจอร์เท่านั้นที่ไม่ใช่เป็นบริษัทในกลุ่ม อย่างไรก็ตามบริษัทที่เข้ามาลงทุนทั้ง 6 บริษัทเป็นการเข้ามาลงทุน และถือหุ้นในระยะยาว เพื่อหวังผลตอบแทนจากการลงทุน เท่านั้นโดยไม่ได้เข้ามามีส่วนในการ บริหารงานแต่อย่างใด

"ปัจจุบันนี้คุณขรรค์ชัย ถือหุ้นอยู่ประมาณ 48% ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถือหุ้นในสัดส่วนมากขนาดนั้น ดังนั้น จึงได้ปรึกษากับเราซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินดังนั้นเราจึงได้มีการติดต่อบริษัทที่สนใจให้เข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ได้ประโยชน์ทั้งคุณขรรค์ชัยที่สามารถช่วยลดภาระได้ขณะที่กลุ่มบริษัทที่เข้ามาถือหุ้นมีความพร้อมในด้านเงินทุน และสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นอยู่แล้ว จึงถือว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยากล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.