แนวทางการกระจายหุ้นของบริษัทบางจากปิโตรเลียม ซึ่งได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนออกมาแล้ว
จากมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม
ที่ผ่านมา จากมติดังกล่าว ให้บางจากเพิ่มทุนจดทะเบียน อีก 2,500 ล้านบาท
โดยการออกหุ้นใหม่ 250 ล้านหุ้น ขายให้กับประชาชนทั่วไป พร้อมกันนี้ ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
(ปตท.) นำหุ้น ที่ถืออยู่จำนวนไม่ต่ำกว่า 39.34 ล้านหุ้น ออกมาขายในคราวเดียวกันนี้ด้วย
แต่หากปตท.ไม่ต้องการขายหุ้นดังกล่าว ก็ให้นำหุ้น ที่ถืออยู่โดย กระทรวงการคลัง
หรือธนาคารกรุงไทยออกมาขายแทน
หลังมติ กนร.ออกมาเพียง 3 วัน คณะกรรมการบางจาก ก็ได้มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก
5,220.4 ล้านบาท เป็น 7,720.4 ล้านบาท พร้อมออกหุ้นกู้ในวงเงิน 4,000 ล้านบาท
โดยได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติการเพิ่มทุนไปแล้วเมื่อวันที่
4 เมษายน
แผนการกระจายหุ้น โดยการเพิ่มทุนขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งนี้ น่าจะสร้างความพอใจให้กับ
โสภณ สุภาพงษ์ ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิกในช่วงก่อนหน้ามติดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน
เพราะสามารถล้างประเด็นการนำบางจากไปขายให้กับต่างชาติ ที่เขาคัดค้านมาตลอดได้
ประเด็นการขายหุ้นบางจาก ได้ถูกดึงเข้าไปเป็นประเด็นทางการเมือง มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางในหลายวงการ
หลังจากโสภณยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการต่อคณะกรรมการบางจากเมื่อกลางปี
2542
เขาระบุถึงเหตุผลหนึ่งในจดหมายลาออกว่า ไม่เห็นด้วยกับการ นำบางจากไปขายให้กับพันธมิตรร่วมทุนต่างชาติ
ปรากฏว่าการประกาศลาออกของโสภณในครั้งนั้น ได้สร้างให้เกิดกระแสต่อต้านการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ
ให้กับต่างชาติอย่างมาก ก่อให้เกิดกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "คนรักบางจาก"
นำโดยณรงค์ โชควัฒนา ที่ได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในการคัดค้านเรื่องนี้
จนต่อมาภายหลังรัฐบาล โดยศุภชัย พาณิชภักดิ์ ในฐานะประธานกนร. ได้ออกมายืนยันถึงความชัดเจนเรื่องการขายหุ้นว่าจะขายให้กับคนไทยเท่านั้น
กระแสการต่อต้านจึงเริ่มเงียบหายไป แต่ทุกคนก็ยังคอยดูข้อสรุปจากกนร.อยู่
จนกระทั่ง กนร.มีมติดังกล่าวออกมา
สิ่งที่จะต้องจับตามองกันต่อไปคือ หลังจากสามารถเพิ่มทุน และออกหุ้นกู้มาได้แล้ว
การดำเนินงานของบางจากจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ หลังจากผลการดำเนินงานในปี
2542 ยังคงมียอดขาดทุนอยู่ถึง 1,734.07 ล้านบาท