คงไม่มีสินค้าและบริการชนิดใดจากประเทศอังกฤษ ที่สามารถส่งผ่านอิทธิพลทางความคิดในระดับนานาชาติได้มากเท่ากับระบบการศึกษาของ
ราชอาณาจักรอันเก่าแก่แห่งนี้ และด้วยคุณค่ามาตรฐานของสังคมไทยในปัจจุบัน
นี่อาจเป็น ห้วงเวลาของการ reproduction ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้กรอบความคิดเดิมที่น่าสนใจยิ่ง
การเปิดตัวโรงเรียน Shrewsbury International School ในฐานะโรงเรียน จากอังกฤษแห่งที่
3 ที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคมปี 2545 ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มดำเนินการเรียนการสอนได้ในช่วงกลางปี
2546 อาจได้รับการประเมินว่าเป็นเพียงรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ของนักพัฒนาที่ดินที่พยายาม
พลิกฟื้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ
เนื่องเพราะการเปิดโรงเรียน Shrewsbury International School ขึ้นในประเทศไทย
ในครั้งนี้ มีชาลี โสภณพานิช แห่ง City Realty เป็นผู้แถลงถึงการลงทุนกว่า
2,000 ล้านบาท
หากในอีกมิติหนึ่งกรณีดังกล่าว นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากในแวดวงการศึกษาไทยและเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง
10 ปีที่ผ่านมา เพราะการเข้ามาตั้งโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ภายใต้ชื่อสถานศึกษาชั้นนำของอังกฤษ
3 แห่ง ล้วนแต่มีรากฐานความสัมพันธ์กับสังคมไทยมานานกว่า 100 ปี และเป็นภาพสะท้อนอิทธิพลทางความคิดที่ระบบการศึกษาอังกฤษมีต่อสังคมไทยที่ชัดเจนอย่างยิ่ง
ในปี 2537 Dulwich International College-DIC เริ่มเปิดดำเนินการในจังหวัดภูเก็ต
ท่ามกลางการออกแบบที่จำลองภาพตัวอาคารและอาณาบริเวณ โดยรอบให้มีความละม้ายกับบรรยากาศการศึกษาในประเทศอังกฤษ
โดยมีกลุ่มประสิทธิ์พัฒนาของตระกูลอุไรรัตน์ เป็น ผู้ซื้อสิทธิในชื่อมาจาก
Dulwich College
หลังจาก Dulwich International College-DIC เปิดดำเนินการได้เพียง 4 ปี
ในปี 2541 โรงเรียนนานาชาติจากอังกฤษแห่งที่สองในนาม Harrow International
School ก็เริ่มเข้ามาดำเนินการในไทยบ้าง โดยใช้พื้นที่ของโครงการ Bangkok
Garden บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นที่ตั้งโรงเรียนในช่วงเริ่มต้น ก่อนที่จะย้ายไปสู่ที่ตั้งใหม่ย่านดอนเมืองในไม่ช้า
การเข้ามาของ Dulwich, Harrow และ Shrewsbury มองอีกด้านหนึ่งมิได้มีความแตกต่างไปจากการขยายฐานการ
ผลิตเข้าสู่พื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นกระแส นิยมของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ
ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็เป็นการ access to the market
ที่มีกลุ่มชนชั้นนำไทยร่วมเป็น presenter และตัวแทน การจำหน่ายสินค้าเหล่านี้ไปพร้อมกันอย่างได้ผล
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สถานศึกษาจากอังกฤษ ได้รับการวางตำแหน่งไว้เป็นประหนึ่งสินค้าระดับบนสุด
และเป็นแหล่งบ่มเพาะรูปการจิตสำนึก ที่มีอิทธิพลในเชิงความคิดและวัฒนธรรมที่ฝังรากซึมลึกลงไปในระดับจิตวิญญาณ
โดยมีชนชั้นนำไทยร่วมเป็นองค์อุปถัมภ์ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
การเปิดประเทศเพื่อรับเอาวิทยาการและวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสู่สยามประเทศในช่วง
100 ปีเศษที่ผ่านมา ติดตามมาด้วยการเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
และการเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศอังกฤษ
ทำให้สายสัมพันธ์ในเชิงประวัติศาสตร์ของสถาบันการศึกษาเหล่านี้มีความแนบแน่นกับชนชั้นนำของสังคมไทยยิ่งขึ้นไปอีก
กระบวนทัศน์ที่ชนชั้นนำไทยได้รับจากการศึกษาดังกล่าว ถูกถ่ายทอดและส่งผ่าน
เข้าสู่สังคมไทยอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นแผนพัฒนาประเทศ ที่เกี่ยวเนื่องกับการวางรากฐานด้านระบบสาธารณูปโภค
สาธารณูปการ การจัดวางระบบการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงคุณค่าในเชิงนามธรรมว่าด้วยความเป็นไพร่-ผู้ดี
ที่ประเมินผ่านการศึกษาด้วย
และดูเหมือนว่าคุณค่าในเชิงนามธรรมที่อังกฤษได้รับจากการกำหนดนิยามใน ฐานะ
"เมืองผู้ดี" ดังกล่าวจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ สถานศึกษาจากอังกฤษ
ได้รับความสนใจและเป็นจุดหมายสำหรับการส่งบุตรหลานไปร่ำเรียน นอกเหนือจาก
การเป็นแผ่นดินเจ้าของภาษา การไปศึกษา ต่อยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในอังกฤษ
จึงเป็นกระบวนการที่ไม่แตกต่างไปจากการ "ชุบตัว" ของกลุ่มชนชั้นนำให้มีความก้าว
หน้าและตามทันวิทยาการจากตะวันตกมากขึ้น ขณะที่กลุ่มชนชั้นอื่นๆ ก็พยายาม
จะก้าวเดินตามร่องรอย ด้วยหวังว่าวิธีการดังกล่าวจะส่งผลให้ได้มาซึ่งสถานะความเป็นผู้ดี
และขยับสถานะจากการเป็นมวล ชนพื้นฐานไปสู่การเป็นกลุ่มชนชั้นนำในอนาคต
นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย และคลี่คลายไปสู่สังคมวงกว้างมากขึ้นนับตั้งยุคอาณา
นิคม ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมถึงสงครามโลกอีก 2 ครั้ง ที่ทำให้ ฐานของการเป็นชนชั้นนำถ่างกว้างออก
โดยมิได้จำกัดอยู่เฉพาะพระบรม วงศานุวงศ์ หรือขุนนางราชสำนักชั้นสูงเท่านั้น
หากแต่ข้าราชบริพารในระดับรองลงมา หรือกระทั่งพ่อค้า วานิช และกลุ่มชนชั้นเศรษฐีใหม่ก็ร่วมอยู่ในกระบวนการเหล่านี้
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เป็นกระบวนการของความพยายามที่จะสานต่อความสัมพันธ์ในระบบเครือข่าย และยกฐานะจากการเป็นสามัญชน
ไปสู่ลำดับชั้นที่สูงกว่าที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ภายใต้ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ได้ส่งผลให้อังกฤษ มิใช่คำตอบเดียวที่มีอยู่สำหรับการไปศึกษาวิทยาการจากโลกตะวันตก
เพราะการปรากฏตัวขึ้นของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจจากโลกใหม่ ก็ดี รวมถึงเหตุผลทางด้าน
เศรษฐกิจในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ความสนใจศึกษาต่อในต่างประเทศมีความหลากหลายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแคนาดา ซึ่งล้วน แต่เป็นทางเลือกที่แทรกตัวเข้ามาสู่การรับรู้ของสังคมไทยมากขึ้นเป็นลำดับ
พร้อม กับทางเลือกว่าด้วยโรงเรียนนานาชาติภายในประเทศอีกด้วย
แต่ สถานศึกษาจากอังกฤษก็ยังอยู่ในฐานะ prestigious product ที่มีความเหนือกว่าทางเลือกอื่นๆ
จากเหตุผลของมิติทางประวัติศาสตร์ และการดำรงสถานะเป็น exclusive choice
ที่มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถเลือกได้
แนวทางการประชาสัมพันธ์การมีอยู่ของโรงเรียนทั้ง 3 แห่งนี้เน้นไปที่การ
นำเสนอประวัติความเป็นมาของสถาบัน ควบคู่กับศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงในอดีต
มา เป็นจุดสนใจ พร้อมกับนำเสนอภาพของศิษย์เก่านักเรียนไทยจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในสังคมทั้งที่เป็นราชนิกุล
และสายตระกูลชั้นนำไม่ว่าจะเป็นปันยารชุน และเกษมศรี มาเป็นตัวแบบในการประชาสัมพันธ์
ซึ่งการอ้างอิงเหล่านี้ดูจะเป็นสิ่งที่จับต้องและสัมผัสได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่ามาตรฐานการศึกษาที่มีความเป็นนามธรรมและอาจจะวัดได้ยาก
การอ้างอิงบุคคลหรือกลุ่มตระกูลที่มี ชื่อเสียงในสังคมในลักษณะดังกล่าวดูจะ
เป็นเรื่องราวปกติในการ "ทำตลาด" ของสถาบันการศึกษาจากต่างประเทศไปแล้ว
และมีแนวโน้มที่จะสืบทอดต่อกันไปอีกในอนาคต
ตราบเท่าที่ปัญญาที่แท้จริงของสังคมไทยยังต้องพึ่งระบบการศึกษาจากต่างประเทศมาเป็น
"มดลูก" ช่วยทำคลอด เช่นนี้