ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน สัจธรรมที่คนในแวดวงตลาดหุ้นซาบซึ้ง เมื่อมืออาชีพและมือสมัครเล่น
ณ วันนี้บอบช้ำไม่แพ้กัน บลจ.กสิกรไทยปรับนโยบายการลงทุนดูความเสี่ยงอันดับหนึ่ง
ผลตอบแทนค่อยตามมา พร้อมหนุนกองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพให้เกิดขึ้น ท่ามกลางภาวะวิกฤตที่ผู้คนต้องการออมระยะยาวเสริมความมั่นใจใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีปีละ
3 แสนเป็นแรงดึงดูด
ในภาวะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงมาป้วนเปี้ยนอยู่ในระดับ 460 จนเป็นที่หวาดเสียวหัวใจของบรรดานักลงทุนทั้งหลายแหล่
ทุกคนกำลังขาดความเชื่อมั่นอย่างหนักต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เสียหายเชื่อมโยงต่อกันเป็นลูกโซ่
นับตั้งแต่ปัญหาจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ก่อให้เกิดหนี้เสียในสถาบันการเงินอย่างมโหฬาร
ปัญหาการส่งออกตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนทำให้มีการเก็งกำไรค่าเงินบาท และส่งผลทำให้ไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้
เมื่อดอกเบี้ยสูง ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนก็พุ่งทะยานขึ้นไปด้วย
ประกอบกับยอดขายที่ลดน้อยลง ทำให้ผลประกอบการที่ออกมาไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนได้
การทยอยขายหุ้นจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ดัยนา บุนนาค กรรมการผู้จัดการบลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า
"นโยบายของเรา ก็คือการปรับพอร์ตเพื่อให้รับกับเศรษฐกิจปัจจุบัน เราจะดูบริษัทที่มีสถานะมั่นคงมากๆ
โดยดูจากภาระหนี้สินของบริษัท ความสามารถในการชำระหนี้ ยอดขายจะขยายตัวได้หรือไม่
และได้รับผลจากภาวะเศรษฐกิจอย่างไร ดูบริษัทที่มีการบริหารความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนว่ามีการทำประกันความเสี่ยงหรือไม่
เราเน้นประเด็นเหล่านี้ให้มากขึ้นไปอีก"
ทางด้านตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทยจะระมัดระวังในเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น โดยดูทั้งความมั่นคงของสถาบันที่จะเข้าไปฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้
โดยพิจารณาเรื่องความเสี่ยงเป็นอันดับแรก แล้วจึงพิจารณาที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้นั้นๆ
ดัยนา เชื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ กำลังมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น แต่กว่าที่จะฟื้นตัวได้นั้นยังต้องอาศัยเวลา
และถึงแม้หลายๆ อุตสาหกรรมจะได้รับความเสียหายแต่ก็ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ยังสามารถลงทุนได้
หากพิจารณาจากพอร์ตการลงทุนในหุ้นทุนของ บลจ.กสิกรไทยแล้วจะพบว่า หมวดที่กองทุนรวงข้าวให้น้ำหนักในการลงทุนค่อนข้างสูงคือ
หมวดพลังงาน ธนาคาร และสื่อสาร ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงหมวดเงินทุนหลักทรัพย์
เคมีภัณฑ์และพลาสติก กับหมวดอสังหาริมทรัพย์มากเป็นพิเศษ
ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย บริหารกองทุนรวมทั้งสิ้น 16 กองทุน แบ่งออกเป็นกองทุนหุ้นทุน
9 กอง กองทุนตราสารหนี้ 4 กอง และกองทุนผสม (Balance Fund) อีก 3 กอง
ขณะนี้กำลังเตรียมการออกขายหน่วยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้อีก 2 กอง ดัยนาเล่าถึงเหตุผลในการเปิดกองทุนเพิ่มในช่วงใกล้ๆ
นี้ว่า "เรากำลังจะออกอีก 2 กอง เป็นกองทุนรวงข้าวตราสารหนี้ปันผล และรวงข้าวบริหารเงินปันผล
แต่เป็นกองที่ 2 เพราะนักลงทุนได้ขอมาว่า ถ้าเราจ่ายปันผลทุก 6 เดือน จะมีช่วงหนึ่งที่เขาไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพราะเขาต้องซื้อ
3 เดือนก่อนเงินปันผลจ่าย เราจึงจะมี 2 กองนี้ขึ้นมา เพื่อที่จ่ายเงินปันผลได้ทั้ง
4 งวดต่อปี มันจะสลับไตรมาสกันพอดี 2 กองเดิมที่มีอยู่จะปิดงวดปันผลเมื่อสิ้นเมษายนและตุลาคม
ส่วน 2 กองใหม่ที่จะจัดตั้งจะปิดสิ้นกรกฎาคมกับมกราคม"
ในขณะที่องค์กรต่างๆ เริ่มสั่นคลอนไปตามภาวะของเศรษฐกิจ ตัวเลขการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นจาก
2.5% เป็น 2.6%เศษ ทั้งยังมีการประมาณการกันอีกว่าในปีนี้จะมีคนตกงานถึง
40,000 คน พนักงานในบริษัทที่ประสบปัญหาการขาดทุนจำนวนมาก ถูกบริษัทเลิกจ้าง
โรงงานทอผ้าหลายแห่งปิดกิจการลง สถาบันการเงินบางแห่งเสนอให้พนักงานทำงานแบบเดือนเว้นเดือนเพื่อที่บริษัทจะได้จ่ายเงินเดือนแบบเดือนเว้นเดือนเช่นกัน
บางแห่งให้ลดเวลาการทำงานลงพร้อมๆ กับปรับลดเงินเดือนตามสัดส่วนของเวลาที่ลดลงด้วย
ขณะที่อีกหลายแห่งก็ขอปรับลดอัตราเงินเดือนพนักงานลงไปโดยที่ยังต้องทำงานหนักเหมือนเดิม
นับเป็นการบีบบังคับให้พนักงานลาออกโดยที่บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานนั่นเอง
ความไม่มั่นคงเหล่านี้ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการเก็บออกมากขึ้น
ภาครัฐเองก็สนับสนุนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะต้องการแก้ปัญหาดุลการชำระเงิน
โดยจะช่วยลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศลงได้ ปัจจุบันเงินออมของไทยส่วนใหญ่มาจากภาครัฐ
และกำไรจากภาคธุรกิจ ในขณะที่ภาคครัวเรือนมีการเก็บออมน้อยมาก
การผลักดันให้เกิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการจึงเกิดขึ้น
พร้อมๆ กับการให้แรงจูงใจแก่ผู้ออมเงินระยะยาวโดยการลดหน่อยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถึง
3 แสนบาทต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก
อย่างไรก็ตามในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น รัฐบาลมีเงื่อนไขสำคัญคือนายจ้างและลูกจ้างจะต้องร่วมกันจัดตั้งขึ้นมา
โดยลูกจ้างสะสมเงินเข้ามาเท่าไหร่ นายจ้างจะต้องสมทบเข้ามาเท่ากับลูกจ้างหรือมากกว่า
ลูกจ้างจะสะสมเข้ามามากกว่านายจ้างไม่ได้
ดัยนา อธิบายว่า "ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นายจ้างอาจจะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและการทำกำไร
ดังนั้นการที่จะยอมจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นมีแต่จะลดลง ขณะที่ภาวะอย่างนี้ลูกจ้างอาจจะอยากออมเงินมากขึ้น
ฉะนั้นความต้องการมันสวนทางกันอยู่ เราจึงควรจะมีช่องทางใหม่ให้ลูกจ้างได้ออมเอง"
นอกจากนี้การที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องมีการจัดตั้งร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
ทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ผู้ที่ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรมไม่สามารถมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้
และไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในรูปของเงินออมระยะยาวเพื่อไปลดหย่อนเงินได้บุคคลธรรมดา
นั่นเองคือที่มาของแนวคิดใหม่ในเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนบุคคล (Individual
retirement account) ซึ่ง ธีระ ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.บริหารทุนไทย
ได้เสนอต่อที่ประชุมร่วมระหว่างสมาคมจัดการลงทุน สมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
"เราขอไปว่า หนึ่ง รัฐควรแก้ พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ลูกจ้างสามารถสะสมเข้ากองทุนได้มากกว่านายจ้าง
และสอง ให้จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบขาเดียวได้ ถ้าเขาต้องการออมในระยะยาว
ในลักษณะที่เงินออมนั้นต้องมีการผูกพันในระยะยาวว่าต้องอยู่จนครบเกษียณหรือจนไม่มีงานทำ
ตกงาน จึงสามารถเอาออกมาใช้ได้" ดัยนากล่าว
อย่างไรก็ตามการแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นจะต้องอาศัยเวลา
ดัยนา จึงได้มีการเสนอความคิดให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมในลักษณะพิเศษขึ้นมา
โดยที่กองทุนรวมนี้ต้องกำหนดว่าผู้ออมเงินต้องลงนามในข้อผูกพันกับบลจ.ว่าจะจ่ายเงินเข้ามาไม่ต่ำกว่าปีละหนึ่งงวด
และเงินนี้มีวัตถุประสงค์เก็บไว้จนไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวได้แล้ว
เช่น เมื่อเกษียณอายุ ซึ่งรัฐอาจจะกำหนดไว้ว่า 55 ปี 60 ปี หรือ 65 ปี เป็นต้น
หากผู้ออมเงินจะถอนออกก่อนกำหนดก็สามารถทำได้ แต่ก็จำเป็นต้องจ่ายภาษีที่รัฐได้ลดหย่อนให้นั้นคืนกลับมาด้วย
กล่าวคือคนที่จะได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา 3 แสนบาทต่อคนต่อปีนั้น
จะต้องออมเงินระยะยาวจนกว่าจะครบกำหนดตามเงื่อนไขของรัฐบาลเท่านั้น
การจัดตั้งกองทุนรวมในลักษณะพิเศษเช่นนี้ จะทำได้อย่างรวดเร็วโดยมีขั้นตอนคือนำเรื่องเข้าที่ประชุม
ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาประกาศกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพขึ้นมา
จากนั้นกระทรวงการคลังและสรรพากรก็จะออกกฎกระทรวงมาเพื่อที่จะให้กองทุนรวมนี้นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
"ลักษณะสำคัญของกองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพนี้คือ จะไม่มีเงินปันผล
ผู้ถือหน่วยจะได้รับครั้งเดียวเป็นเงินก้อนเมื่อเกษียณอายุ และต่อไปคงจะเหมือนกับต่างประเทศที่ยอมให้เอาเงินนี้มากู้เพื่อซื้อบ้าน
เพื่อรักษาพยาบาล เพื่อการศึกษาบุตร คล้ายว่ามีเงินฝากอยู่แล้วก็สามารถกู้กลับได้
อันนี้มีแนวโน้มว่าจะทำได้ เพราะมีการประชุมและคิดกันในเรื่องพวกนี้บ้างเหมือนกัน"
ดัยนากล่าว
กองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพจัดเป็นกองทุนเปิด เนื่องจากจะมีเงินไหลเข้าอยู่ตลอดเวลา
หากผู้ถือหน่วยจะถอนออกก่อนกำหนด ทางบลจ.จะหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ เพื่อให้สรรพากรทราบว่าเมื่อถึงปลายปี
ผู้ถือหน่วยรายนั้นจะต้องไปคืนภาษี
สำหรับวิธีการลงทุนในกองทุนนี้ ผู้ลงทุนจะสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้บลจ.นำเงินออมเหล่านั้นไปลงทุนในกองทุนประเภทใด
เช่น ลงทุนในหุ้นทุน 60% ในตราสารการเงินและตราสารหนี้ 40% โดยสัดส่วนเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนเปลงได้โดยการมาเปลี่ยนข้อผูกพันใหม่กับทาง
บลจ. เช่น เปลี่ยนเป็นลงทุนในหุ้นทุน 50% ตราสารการเงินและตราสารหนี้ 50%
เป็นต้น
นอกจากนี้จำนวนเงินที่นำมาออมในแต่ละงวดก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เช่นในปีแรกๆ
ผู้ลงทุนผูกพันไว้ว่าจะออมเงินปีละ 10,000 บาท ต่อมาเมื่อฐานะดีขึ้นก็สามารถเปลี่ยนข้อผูกพันโดยออมเงินเพิ่มขึ้นเป็นปีละ
20,000 บาท หรือต้องการลดลงเหลือปีละ 5,000 บาทก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ลงทุนเอง
โดยทางบลจ.อาจจะให้คำแนะนำในเรื่องการลงทุนให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละคนได้
ดัยนายกตัวอย่างว่า "ในต่างประเทศเขาจะให้ผู้ลงทุนเลือกเอง เช่น คนที่อายุน้อย
เพิ่งเริ่มทำงาน ยังสามารถเสี่ยงได้มาก คนเหล่านี้อาจจะต้องการลงทุนในหุ้นทุนมากๆ
อาจจะสัก 70% ขณะที่คนในวัยใกล้เกษียณเสี่ยงไม่ได้แล้ว เงินก้อนนี้ต้องนำไปใช้หลังเกษียณ
เขาก็อาจจะเน้นลงทุนในตราสารการเงินและตราสารหนี้มากกว่า ข้อผูกพันต่างๆ
สามารถเปลี่ยนแปลงได้และผู้ลงทุนคือคนเลือกเอง"
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวยังมิได้ออกมาเป็นรูปธรรม หลังจากได้มีการเสนอในที่ประชุมแล้ว
ทุกฝ่ายค่อนข้างเห็นด้วย ยังเหลือในเรื่องรายละเอียดคือ ทาง ก.ล.ต. ต้องไปหารือกับทางสรรพากร
ถ้าสรรพากรเห็นด้วยและลดหย่อนภาษีให้ตามที่เสนอไป กองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพก็จะสามารถเกิดขึ้นได้เร็ว
ในภาวการณ์ที่เศรษฐกิจซบเซาอย่างนี้ ธุรกิจจัดการกองทุนรวมนับเป็นธุรกิจที่ยังไปได้ดี
มีใบอนุญาตใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ ออกมาให้ลูกค้าได้เลือกลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับบลจ.กสิกรไทยเอง ได้เตรียมความพร้อมที่จะทำกองทุนเพิ่มขึ้นอีกหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ระดมเงินจากนักลงทุนต่างประเทศล้วนๆ (Country Fund)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) กองทุนอสังหาริมทรัพย์
(Property Fund) ซึ่งทั้งหมดนี้มีกฎเกณฑ์ต่างๆ ออกมารองรับหมดแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการจัดตั้งทั้งสิ้น
ธุรกรรมใหม่ๆ ที่ออกมาแล้ว และกำลังจะออกมาได้กลายเป็นขนมหวานที่ดึงดูดผู้ประกอบการจำนวนมากให้เข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้
ผู้ประกอบการใหม่ๆ หลายรายได้เปิดตัวขึ้น บ้างเริ่มรุกตลาดแล้ว บ้างยังอยู่ระหว่างเตรียมการ
และบ้างยังรอใบอนุญาตจากทางการ อย่างไรก็ดีแนวโน้มเช่นนี้ส่อแววถึงการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต
ซึ่งผลดีจะตกอยู่ที่ผู้บริโภคโดยตรงในแง่ที่ว่าจะมีสินค้าคุณภาพดี ราคาย่อมเยามาให้เลือกลงทุนได้มากขึ้นนั่นเอง