โบรกเกอร์แนะซื้อหุ้นปูนใหญ่ มั่นใจผลตอบแทนเงินปันผลสูง


ผู้จัดการรายวัน(10 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

โบรกเกอร์ แนะ ซื้อหุ้น "ปูนซิเมนต์ไทย" แม้อัตราการขยายตัวปีหน้าค่อนข้างจำกัด เหตุ มีผลตอบแทนในรูปเงินปันผลอยู่ในอัตราที่สูง บล.บัวหลวง ให้ราคาเป้า-หมายที่ 273 บาท ขณะที่ บล.เคจีไอ สวนกระแส ปรับประมาณการกำไรเพิ่ม ขึ้นอีก 5% จากเดิม 3.13 หมื่นล้านบาท เป็น 3.29 หมื่นล้านบาท ราคาเป้าหมายที่ 300 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ประเมินฐานะการดำเนิน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ว่า ในระยะเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า โอกาสในการขยายตัวของกำไร SCC จะมีค่อนข้างจำกัด อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่

1. การบริโภคซีเมนต์ที่คาดว่าจะเติบโตในอัตราลดลงจากในปี 2548 สืบเนื่องจากโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน ที่คาดว่าจะล่าช้าออกไป

2. ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอ่อนตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน และประการสุดท้าย อัตราการใช้กำลังการผลิตที่เต็มกำลังการผลิตแล้วในอุตสาหกรรมกระดาษ

อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองการลงทุนในหุ้น SCC จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับอัตราการขยายตัวของบริษัทที่มีอัตราเติบโตสูงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นหุ้นที่มีการจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงิน ปันผลที่สูง เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 15 บาทต่อปี ซึ่งจะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.1% เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 246 บาท ขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2545-2548 อยู่ที่ 0.85%, 1.57%, 2.46% และ 6.15% ตามลำดับ

เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ SCC ในระยะยาว แม้ว่าเรามองว่าแนวโน้มผลกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้าดังกล่าวมาแล้วจะไม่สดใสมากนัก เรายังคงแนะนำ ซื้อจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยมีราคาเป้าหมายที่ 273 บาท

ขณะเดียวกับ SCC ยังคงจะได้รับผลดีจากการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์มูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้าน บาทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าอาจจะต้องล่าช้าออกไปบ้าง จากการที่รัฐบาลได้ประกาศเปิดกว้างในเรื่องข้อ เสนอในการลงทุน ซึ่งจะทำให้ขั้นตอน กระบวนการประเมินต่างๆ อาจจะต้อง ใช้เวลานาน ทั้งนี้เรามองว่าการก่อสร้าง โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ น่าจะเริ่มขึ้นได้หลังจากไตรมาส 1 ปี 2550 ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการการบริโภคซีเมนต์ในปี 2549 ลงเหลือ 5% จากเดิม 10%

พร้อมกันนี้ บล.บัวหลวง ประเมินว่า ปริมาณอุปทานโอลิฟินของ โลกจะโตขึ้น 5% ในขณะที่ฝั่งอุปสงค์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4% ทำให้เราเชื่อ ว่าทั้งราคาปิโตรเคมีและส่วนต่างราคา จะเริ่มชะลอตัวลง โดยเราคาดว่าในปี 2549 ส่วนต่างราคาจะลดลง 9% โดย HDPE-naphtha จะอยู่ที่ 480 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และ PP-naphtha จะอยู่ที่ 530 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ทั้งนี้ UPPC และ TCP จะเริ่มใช้ boiler ตัวใหม่ในไตรมาสแรก และในไตรมาส 3 ปี 2549 นี้ ซึ่งจะ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นสัดส่วน 5% ของ EBITDA) อย่างไรก็ดี ธุรกิจกระดาษ จะมีการเติบโตอย่างเป็นสาระ ในปี 2551 หลังจากที่กำลังการผลิตใหม่ ใน ธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมและกระดาษพิมพ์เขียนมีการเริ่มการผลิตอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานของปี 2548 ไว้ที่ 33,200 ล้านบาท แต่ได้ปรับลดกำไรของปี 2549 ลง 7% เนื่องจากเหตุผล 3 ประการหลัก คือ 1. คาดว่าส่วนต่างราคาเคมีคัลจะลดลง มาประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในปี 2549 2. การบริโภคซีเมนต์จะลดลงเหลือ 5% จากเดิม 10% ในปี 2549 และ 3. บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการกู้เพื่อขยายกิจการและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้ม สูงขึ้น

ด้านบล.เคจีไอ ได้ให้ความเห็นที่สอดคล้องกัน โดยแนะนำให้ซื้อ SCC จากราคาเป้าหมายปี 2549 อยู่ที่ 300 บาท ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายถึง 21% และมั่นใจว่าธุรกิจซีเมนต์และกระดาษน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ SCC มีผล ประกอบการที่อิงอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมี ค่อนข้างสูง โดยปีหน้าน่าจะมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่แคบลง ดังนั้นจึงอาจจะยังถ่วงราคาหุ้นอยู่ให้ราคาปรับตัวได้ไม่มาก

ขณะเดียวกันจากการพบปะกับผู้บริหารทำให้เราเชื่อว่ากำไรในไตรมาส 4 ของ SCC จะดีกว่าที่ประมาณการเดิมที่คาดการณ์ไว้ โดยหลักๆ เป็นผล มาจากธุรกิจปิโตรเคมี เราจึงมีการปรับประมาณการปี 2548 ขึ้นอีก 5% จาก 31.3 พันล้านบาท เป็น 32.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ กำไรในปี 2549 มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจาก ที่ยอดขายที่น่าจะสูงกว่าที่คาดไว้เดิมจะตัดกับอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะน้อยกว่าเดิม

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 180,049.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27,133.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 22.61 บาท ขณะที่ 31 ธันวาคม 2547 รายได้รวมอยู่ที่ 204,372.29 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36,483.44 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 30.40 บาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.