"ผู้จัดการรายเดือน" พบปะผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนหลายรายเมื่อวันงานมหกรรมบ้านและคอนโด97
ซึ่งหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
หลายรายพูดถึงปรีดิ์ บุรณศิริ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติด้วยความเป็นห่วงในเรื่องที่ถูกบอร์ดการเคหะแห่งชาติปลดออกจากตำแหน่ง
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าในขณะนี้ปรีดิ์ป่วยถึงขั้นต้องผ่าตัดหัวใจ และแพทย์ให้ลาพักยาวไปจนถึงวันที่
6 กรกฎาคม 2540
ปรีดิ์ไม่เคยทำงานในบริษัทจัดสรรที่ดินของภาคเอกชน แต่มีเพื่อนฝูงหลายคนในวงการพัฒนาที่ดิน
เพราะชั่วระยะเวลายาวนานประมาณ 24 ปี ในการเคหะแห่งชาตินั้นปรีดิ์ได้เข้าร่วมวางแผนทางด้านนโยบายที่อยู่อาศัยหลายครั้งกับผู้ประกอบการภาคเอกชน
คำสั่งปลดผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ จึงเกิดคำถามในใจขึ้นมาหลายๆ คำถาม แต่เป็นคำถามที่พนักงานการเคหะฯอาจจะชาชิน
และมีคำตอบ
นับตั้งแต่มีการเคหะแห่งชาติเกิดขึ้นเมื่อปี 2516 นั้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะฯ
นั้น ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ส่งมาจากพรรคการเมือง เพราะที่นี่จะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยจำนวนมาก
ปีหนึ่งหลายหมื่นหน่วย อย่างเช่นในช่วงแผน 8 คือปี 2540-2544 นี้ วงเงินลงทุนรวมมีสูงถึง
94,890 ล้านบาท ต้องก่อสร้างที่อยู่อาศัยถึง 200,000 หน่วย การสร้างผลงานให้เกิดขึ้นที่นี่
เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองสามารถโชว์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ และถ้าจัดการดีๆ
คะแนนเสียงหลายหมื่นเสียงก็สามารถตุนเก็บเอาไว้ได้เหมือนกัน
ประสิทธิ์ ณรงค์เดช เป็นผู้ว่าการเคหะแห่งชาติในปี 2518-2521 เป็นผู้ว่าคนแรกที่ถูกส่งมาจากพรรคการเมืองในรัฐบาลของ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แต่ก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถ โครงการใหญ่ของการเคหะฯ
ได้เกิดขึ้นในช่วงสมัยนั้น
ดำรง ลักธพิพัฒน์มาจากการเมืองสายประชาธิปัตย์ในช่วงปี 2524-2526 ส่วนดร.สุเชษฐ
สิทธิชัยเกษม มาจากสายของพรรคกิจสังคม ในช่วงปี 2528-2530
ส่วนผู้ว่าฯคนอื่นๆ หลายคนถูกขึ้นมาแค่เพียงขัดตาทัพหรือพรรคการเมืองยังหาคนลงที่เหมาะสมไม่ได้เช่นผู้ว่าฯ
รตยา จันเทียร เป็นผู้ว่าหญิงคนแรกของการเคหะฯ ที่ขึ้นตำแหน่งอย่างสวยงาม
เพราะความเหมาะสมหลายอย่างคือ ไม่อยู่ในพรรคการเมืองและเป็นข้าราชการเก่าแก่ของการเคหะฯ
ที่ไต่เต้าตำแหน่งมานาน รตยาสามารถทำงานอยู่จนเกษียณอายุราชการ
ส่วนผู้ว่าปรีดิ์ ก็เป็นลูกหม้อเก่าแก่ของการเคหะฯ อีกคนหนึ่ง เพราะเริ่มเข้ามาทำงานตั้งแต่ปี
2516 ในตำแหน่งหัวหน้ากองวางแผนและวิเคราะห์โครงการฝ่ายวิจัยและวางแผน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าเมื่อเดือนเมษายน
2537
เมื่อลูกหม้อเก่าแก่ของการเคหะฯ ได้โอกาสขึ้นตำแหน่งนี้อีกครั้ง ชาวเคหะฯทั่วไปก็อาจจะคิดว่าคงเป็นนิมิตหมายที่ดี
ที่การเคหะฯ จะปลดเปลื้องพันธนาการบางอย่างได้เสียที แต่เวลาเพียงผ่านไปไม่นานก็ถูกพิสูจน์ออกมาว่า
เป็นการรอเวลาเท่านั้น
การเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเคหะฯ เพราะการเมือง และออกไปเพราะการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา
เช่นเดียวกับการถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการซื้อที่ดิน หรือการประมูลงานรับเหมาก่อสร้าง
เพราะงานของการเคหะฯ มักจะเกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดินแปลงใหญ่เพื่อทำที่อยู่อาศัยอยู่ตลอดเวลา
เมื่อปรีดิ์ไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ยอมประนีประนอมกับข้อต่อทางอำนาจของการเมือง
ประเด็นในเรื่องความบกพร่องในเรื่องการจัดซื้อที่ดินที่ลำลูกกาคลอง 11 จำนวน
832 ไร่ ในราคาที่สูงจึงได้ถูกนำมาใช้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสืบสวนที่มี
ฮึกหาญ โตมรศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานได้สรุปผลสอบสวนไว้ว่า
คณะกรรมการมีความเห็นเป็น 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายแรกมองว่าเป็นราคาซื้อที่ค่อนข้างสูง
ฝ่ายที่ 2 เห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ส่วนฝ่ายที่ 3 มีความเห็นว่า คณะกรรมการไม่สามารถพิจารณาได้ว่าทุจริตหรือไม่
เพราะไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการสอบสวน เห็นควรส่งเรื่องนี้ไปให้ทางป.ป.ป.ต่อไป
แต่ในที่สุดจากการประชุมลับของคณะกรรมการการเคหะฯ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม
2540 ก็มีผลให้ เสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาไทยมีคำสั่งให้ ปรีดิ์
บุรณศิริไปช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน
2540
พลิกปูมหลังของ สกุล "บุรณ ศิริ" จะพบว่ามีบรรพบุรุษต้นตระกูล
ที่สืบเชื้อสายกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนใหญ่จะรับราชการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด
ปรีดิ์ เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของประยูร และหม่อมหลวงประสาระนี (มาลากุล) มีพี่น้องร่วมท้อง
5 คนคือ ศ.นพ.ปัญญา บุรณศิริ อาจารย์ภาควิชาอายุรกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล นิยดา
กนิษฐรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบธนาคารแห่งประเทศไทย นันท์ บุรณศิริ
ทำงานอยู่ในสโมสรราชกรีฑา และพิม ฮั่นตระกูล เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลรามคำแหงเชียงใหม่
รองศาสตราจารย์ปิยา อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือภรรยาคู่ชีวิต
ที่ทนดูสามีถูกรังแกไม่ได้จนต้องออกมาร้องขอพบนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความเป็นธรรมโดยมีนนท์และธาร
ลูกชายทั้ง 2 คอยร้องขอให้ใจเย็นๆ
ในขณะเดียวกันทางพนักงานการเคหะแห่งชาติก็ได้ยื่นเรื่องถวายฎีกาในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
จะได้ผลอย่างไรหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องรอคอย แต่อย่างน้อยคำสั่งปลดออกจากตำแหน่งที่คาดว่าจะเข้าประชุมครม.เมื่อวันที่
11 มิถุนายน 2540 นั้น ได้เลื่อนออกไปครั้งหนึ่งแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้ขวากหนามบนเส้นทางแห่งผลประโยชน์ในการเคหะฯ ได้ถูกตระเตรียมถากถางไว้ส่วนหนึ่งแล้ว
เพื่อให้คนของใคร? ก้าวมาเดินเป็นคนต่อไปต้องจับตาดู !