คลังเน้นลงทุน-ปรับโครงสร้างศก. กระตุ้นจีดีพีโต 6% ตามเป้ารัฐบาล


ผู้จัดการรายวัน(6 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

กระทรวงการคลังเสนอนโยบายการคลังปี49 ให้นายกฯ เน้นกระตุ้นลงทุน-ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพ พร้อมออก มาตรการเสริมสนองนายกฯในวันที่ 11 ม.ค.นี้ หนุนจีดีพีโตตามเป้า 6% "ทนง" เชื่อปีนี้ เป็นปีทองของอุตฯชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-รถยนต์ หลังปรับโครงสร้าง ภาษีพร้อมการันตีเศรษฐกิจโตได้ 5-6% เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 4% ได้

ในวันที่ 11 มกราคม 2549 ซึ่ง เป็นวันที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 6% และมีเสถียรภาพ มากขึ้นนั้นนายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวง การคลังได้เสนอมาตรการในส่วนของกระทรวงการคลังไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือ นโยบายการดำเนินงาน ในปี 2549 ที่กระทรวงการคลังได้แถลงไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะเน้นผลใน 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย การรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มคุณภาพ ของสังคม

ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะเน้นในเรื่องของการกระตุ้นการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาล ขณะที่ด้านการบริโภค คงจะไม่มีมาตรการทางการคลังที่แรงๆ ออกมา แต่จะเน้นประคองไม่ให้การบริโภคลดลงมากกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับว่า นายกรัฐมนตรีจะมี การประกาศมาตรการอะไรพิเศษออกมาหรือไม่ ซึ่งหากเกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง ก็จะต้องออกมาตรการมาเสริมในภายหลัง

"ตอนนี้ รมว.คลังไม่ได้สั่งการ ให้ สศค.คิดมาตรการอะไรเพิ่มเติม และคงไม่สามารถเดาใจนายกฯได้ว่าจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาหรือเปล่า แต่ในส่วนของกระทรวงการคลังได้เสนอนโยบายปี 2549 ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ให้ท่านไป"

สำหรับนโยบายการดำเนินงาน ในปี 2549 กระทรวงการคลังได้ตั้งเป้า ให้เป็น ปีแห่งการปรับโครงสร้าง โดยการสร้างรากฐานเศรษฐกิจและธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันของไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีในทุก ด้าน เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีศักยภาพในการแข่งขัน และเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค เช่น การปรับโครงสร้างอากร ขาเข้าเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์ กลางการผลิตอาหารแปรรูปภูมิภาค เอเชีย หรือการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งเอเชีย

อย่างไรก็ตาม จะยังคงเน้นรักษาวินัยทางการคลังให้เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพ ทางการคลัง โดยจะจัดทำงบประมาณ สมดุลในปีงบประมาณ 2550 ต่อเนื่อง เป็นปีที่ 3 เร่งรัดเบิกจ่ายให้ตรงตาม เป้าหมายที่ 93% การร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อรักษาเสถียรภาพภายใน และภายนอกไม่ให้อัตราเงิน เฟ้อสูงเกินไปดูแลไม่ให้อัตราการ ว่างงานอยู่ในระดับสูง และดูแลไม่ให้ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากเกินไป

นอกจากนี้ จะเร่งให้มีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก การปรับปรุงการกำกับดูแลธุรกิจธนาคาร และที่ไม่ใช่ธนาคารให้มีประสิทธิภาพ มากขึ้น ในด้านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้จะต้องมีแผนพัฒนาตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ที่ชัดเจน เพิ่มบทบาทตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ และเพื่อรองรับการเปิดเสรีด้านการเงินและตลาดทุน

ในด้านการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทย จะผลักดัน การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ แห่งชาติ (กบช.) เพื่อส่งเสริมการออมเมื่อเข้าสู่สังคมวัยสูงอายุแล้วจะผลักดันให้ประชาชนระดับรากหญ้า เข้าถึงแหล่งเงินทุน การบริหารกลุ่ม สัจจะออมทรัพย์ เครดิตยูเนียน กองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง ธนาคารหมู่บ้าน เป็นต้น

รวมทั้งจะขอมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยราชการต่างๆ คืนที่ราชพัสดุ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ แก่กรมธนารักษ์ เพื่อนำมาบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2549 ต้องการพื้นที่ประมาณ 400,000 ไร่ เพื่อใช้จัดทำที่อยู่อาศัยให้กับหน่วยราชการเจ้าของที่เดิม และข้าราชการอื่นรวมถึงการจัดทำโครงการรองรับระบบลอจิสติกส์ เช่น ท่าเรือ โกดังสินค้า การจัดที่ทำกินให้กับราษฎร การสร้างที่อยู่อาศัย ให้กับผู้มีรายได้น้อย บ้านเอื้ออาทร บ้านธนารักษ์ บ้านข้าราชการ และห้องชุดสำหรับครอบครัวใหม่

ขุนคลังเชื่อปีทองอุตฯอิเล็กฯ-ยานยนต์

นายทนง พิทยะ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในปี 2549 นี้ จะเป็นปีแห่งการสนับสนุนการลงทุนของกระทรวงการคลัง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรในการผลิต ด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้จากการขยายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ เพื่อให้เอกชนขยายการลงทุน พร้อมทั้งปรับโครงสร้าง ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตชิ้นส่วน ส่วนประกอบในประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ สศค.ศึกษาและปรับปรุงโครงสร้างภาษีในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ด้วย ดังนั้น จึงเชื่อว่า ในปีนี้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และอุตสาหกรรมรถยนต์ในส่วนของอะไหล่รถยนต์ จะเติบโตมากขึ้น เรียกว่าเป็นปีทองของอุตสาหกรรมประเภทนี้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ควรผลักดันให้สูงให้มากที่สุดเพื่อให้มีผลต่อเนื่องไปถึงปี 2550

ย้ำจีดีพีโตถึง 6% ได้

นายทนงเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจในปีนี้ยังไปได้ดี โดยอัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) จะอยู่ที่ 5-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในปี 2548 ลดลงเล็กน้อย โดยทั้งปีจะอยู่ที่ 4% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดหากมีการเร่ง การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ อย่างเต็มที่ ก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลบ้าง แต่ก็ไม่ควรเกิน 2% ต่อจีดีพี ซึ่งกระทรวงการคลังจะดูแลเป็นอย่างดี

"เงินเฟ้อในเดือน ธ.ค.ที่ลดลง เหลือ 5.8% เป็นแนวโน้มที่ดีที่ต่ำกว่า 6% ซึ่งเรื่องการทำนายบางที่ก็บอกว่า จะลดลงในไตรมาส 1 บางที่ลดลงในไตรมาส 2 แต่ของผม ผมมองว่า ทั้งปีจะอยู่ที่ 4% ได้ ซึ่งตัวเลขนี้ได้รวมราคาน้ำมันเข้าไปแล้วด้วย" นาย ทนง กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.