กสท.ตกเป็นจำเลย จริงใจ มิใช่หลวมตัว


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ประธานาธิบดีคลินตันกล่าวว่า เขาต้องการให้เด็กอเมริกันอายุ 8 ขวบทุกคนสามารถอ่านออกเขียนได้ เด็กอายุ 12 ขวบทุกคนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ทุกคน และเด็ก 18 ขวบทุกคน สามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา

นี่เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ในเมืองไทยเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 มีผู้ให้บริการหรือ ISP กว่า 12 บริษัท และยังมีอีก 6 บริษัท ที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยอนุมัติให้ดำเนินการได้ และอยู่ระหว่างการเตรียมเปิดให้บริการ

อย่างไรก็ตาม การให้บริการอินเตอร์เน็ตในไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ในเรื่องของค่าบริการที่แพงเกินไป และคุณภาพที่ยังไม่เป็นที่พอใจของผู้ใช้ หน่วยงานที่ตกเป็นจำเลยใหญ่คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ไอเอสพี และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.)

ต่างก็โยนความผิดกันไปมา นี่เป็นเหตุให้สององค์กรคือ ชมรมนักข่าวไอที (ITPC) สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย และสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (NITC) ร่วมมือกันจัดสัมมนาเรื่อง "สภาพการแข่งขันและราคาค่าบริการอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย" ณ ห้องประชุมการสื่อสารแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนมิถุนายน

ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เข้าร่วมงานคับคั่งเป็นจำนวนถึง 150 คน ไฮไลท์สำคัญคือ การเสนอผลวิจัยของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยมีผู้วิจารณ์คือ ตฤณ ตัณฑเศรษฐี กรรมการผู้จัดการบริษัทอินเตอร์เน็ต ประเทศไทย, วิวัฒน์วงศ์ วิจิตรวาทการ กรรมการผู้จัดการบริษัทล็อกซ์อินโฟ และพิศาล จอโภชาอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายแผนงานและพัฒนา การสื่อสารแห่งประเทศไทย

นักวิจัยหนุ่มแห่งทีดีอาร์ไอให้ความเห็นว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญในการอธิบายความแพร่หลายของอินเตอร์เน็ต หากจีดีพีเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์จะมีผลทำให้ประเทศหนึ่งมีจำนวนโฮสต์ (HOST) เพิ่มขึ้นประมาณ 439 เครื่อง

จากการวิจัยพบว่า ประเทศไทยมีอัตราแพร่หลายของอินเตอร์เน็ตต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีขนาดจีดีพีใกล้เคียงกัน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว อินเตอร์เน็ตของไทยมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ สิงคโปร์และมาเลเซียได้เข้าสู่ยุคแห่งการ "ทะยานบิน" ในการเติบโตของอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปี 1995 และ 1996 ตามลำดับ

การที่อินเตอร์เน็ตในไทยยังไม่ถึงยุคทะยานบินก็เพราะยังเป็นธุรกิจผูกขาดของกสท.

เมื่อเปรียบเทียบประเทศสองประเทศที่มีจีดีพีเท่ากันประเทศที่มีการผูกขาดตลาดการสื่อสารระหว่างประเทศ จะมีความแพร่หลายของอินเตอร์เน็ตน้อยกว่าประเทศที่ไม่มีการผูกขาด 557.2 เครื่องต่อจีดีพีทุกหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นี่เป็นประเด็นที่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและผู้ใช้ทั้งแบบบุคคลและองค์กร เห็นด้วยออกจะเป็นเอกฉันท์ โดยวัดจากการแสดงความเห็นในที่สัมมนา

นักวิชาการหนุ่มจากทีดีอาร์ไอ ยังรุกคืบต่อไปว่า อัตราค่าบริการรายเดือนของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ (ยกเว้นญี่ปุ่น) ตั้งแต่ร้อยละ 20 ในกรณีของอินโดนีเซีย ไปจนถึงร้อยละ 63 ในกรณีของมาเลเซีย

ส่วนในบริการสายเช่าขนาด 64 Kbps อัตราค่าบริการรายเดือนโดยเปรียบเทียบของไทยยิ่งสูงขึ้นไปอีกโดยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศประมาณ 50-80%

สาเหตุที่ทำให้ราคาสูงคือ 1) กสท. ซึ่งผูกขาดการให้บริการครึ่งวงจร (half Circuit) คิดค่าบริการวงจรในระดับที่สูงกว่าระดับทั่วไป

2) กสท. เข้าแทรกแซงตลาดในด้านราคา เช่น การกำหนราคาขั้นสูงและราคาขั้นต่ำ ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันที่แท้จริง

3) กสท. เข้าแทรกแซงการบริหารของไอเอสพี เช่น เข้าไปถือหุ้นลม และแทรกแซงการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ดี ดร.สมเกียรติยอมรับว่าเท่าที่ตรวจสอบดู ในความเป็นจริงยังไม่พบว่ากสท.แทรกแซงการบริหารของไอเอสพีแต่ประการใด และการถือหุ้นลมก็ยังไม่ได้ทำให้กสท.ได้เงินปันผลอย่างเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากไอเอสพีแต่ละรายก็เพิ่มเริ่มต้นธุรกิจ และขาดทุนกันทั้งนั้น

งานนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกสท. ใจคอกว้างขวางทีเดียว เพราะแม้จะรู้ว่ากสท.จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วง แต่กสท.ก็ยังยินดีอำนวยความสะดวก และให้ความสนับสนุนทุกอย่างแก่ผู้จัดงาน

การชี้แจงของพิศาล จอโภชาอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายแผนงานและพัฒนา ของกสท. ก็ดำเนินไปอย่างมีเหตุมีผลไม่ก้าวร้าว และให้เกียรติแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นอย่างสูง แทบไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางเสียงวิจารณ์ในบ้านของกสท.เอง พิศาลแทบจะต้องยืนหยัดอยู่เพียงคนเดียว

ที่ผ่านมา ก็ใช่ว่ากสท.จะไม่ฟังเสียงใครเลย

กสท.ก็มีการประกาศลดค่าบริการวงจรระหว่างประเทศลงร้อยละ 10 และลดอัตราค่าบริการพิเศษให้แก่ไอเอสพีร้อยละ 25 ทำให้ค่าบริการอินเตอร์เน็ตอยู่ในระดับที่เหมาะสมพอสมควร คือเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาครึ่งวงจรที่บริษัทผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศให้บริการแก่ไอเอสพีไทย และยังใกล้เคียงกับราคาที่ไอเอสพีในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ซื้อจากหน่วยงานของรัฐ

แต่ผลการวิจัยของทีดีอาร์ไอก็ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ปัญหายังคงเหลืออยู่ 3 ประการคือ

1)การลดราคาดังกล่าวของกสท. ไม่มีการออกประกาศเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ไอเอสพีไม่มีความมั่นใจว่าจะลดได้จริงหรือไม่

2) ราคาที่ประกาศลดให้กับวงจรขนาดใหญ่มีอัตราส่วนลดน้อยกว่าวงจรขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ไอเอสพีไม่มีแรงจูงใจในการขยายวงจร

3) กสท.ยังไม่มีหลักประกันถึงการลดราคาวงจรอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการเปิดเผยถึงสูตรในการปรับราคาแต่ละครั้งว่า ปรับลดตามต้นทุนที่ลดลงของกสท. หรือใช้หลักเกณฑ์อื่น
ข้อสรุปของการสัมมนาครั้งนี้คือ กสท.ต้องเลิกควบคุมราคาทั้งสูงสุดและต่ำสุด โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด กสท.ควรถอนตัวออกจากการถือหุ้นลมในไอเอสพีทั้งหลาย เพราะเท่ากับเป็นต้นทุนที่ทำให้ไอเอสพีจำเป็นต้องคิดค่าบริการแพงขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการบิดเบือนตลาด

อันที่จริง เรื่องค่าบริการอินเตอร์เน็ตแพงนั้น เท่ากับทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขัน เพราะลูกค้าในไทยย้ายฐานหรือ HOST ไปยังต่างประเทศที่มีค่าบริการถูกกว่า ดังเช่นปรากฏในกรณีของ บางกอกโพสต์ และแม้กระทั่งหน่วยงานราชการ เช่น กรมส่งเสริมการส่งออก

จากการวิจัยพบว่า จีนเป็นประเทศที่อัตราการย้ายฐานของโฮสต์สูงสุดคือ ร้อยละ 80 รองลงมาคือกลุ่มอาเซียนและประเทศไทย อัตราค่าเช่าสายที่สูงทำให้ไอเอสพีในไทยเสียโอกาสทางธุรกิจไปถึงร้อยละ 26 และมีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันธุรกิจด้านนี้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน

การระดมความคิดครั้งนี้ เป็นการประสานเสียงที่หนักแน่นของทุกฝ่าย ที่น่าเห็นใจคือ ประดาไอเอสพีที่ครวญว่า ทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้ ขาดทุนจนไม่อยากทำอยู่แล้ว แต่ที่ทำก็เพราะยังมีความหวัง แค่นั้นเอง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.