เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ณ สหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัท โคคา-โคลา จำกัด และบริษัท
เนสท์เล่ จำกัด ได้ประกาศผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันนั้นโดยอาศัยความแข็งแกร่งของบริษัท
โคคา-โคลา ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และมีระบบการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ผนึกกับบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารอย่างเนสท์เล่
เป็นผลให้การดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทประสบความสำเร็จไปทั่วโลก โดยในเบื้องต้นได้ลงทุนร่วมกันในการผลิตและจำหน่ายชาพร้อมดื่มจำหน่ายใน
30 กว่าประเทศทั่วโลก รวมทั้งได้ร่วมกันดำเนินธุรกิจกาแฟกระป๋องด้วย สำหรับประเทศในแถบเอเชียทั้ง
2 บริษัท ได้ดำเนินธุรกิจร่วมกันในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์
ฮ่องกง-มาเก๊า และมาเลเซีย ล่าสุด ทั้ง 2 บริษัทได้ตระหนักถึงความน่าเชื่อถือ
และชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ในประเทศไทยที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่างๆ
เช่น เนสท์กาแฟ คอฟฟี่เมท นมตราหมี ไมโลและแม็กกี้ เป็นต้น และมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง
80% ประกอบกับศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำอัดลมในไทยและความชำนาญด้านการจัดจำหน่ายของโคคา-โคลา
ในประเทศไทยที่มีมานานร่วม 50 ปี จึงได้มีการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท โคคา-โคลา
เนสท์เล่ เบเวอเรจ (ประเทศไทย) ขึ้น โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท โคคา-โคลา
เซาท์ เอเชีย โฮลดิ้ง ในสัดส่วน 51% และบริษัทเนสท์เล่ (ประเทศไทย) 49%
เครื่องดื่ม "โค้ก" ได้เริ่มจัดจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี
2491 โดยมีโรงงานผลิตและบรรจุภัณฑ์แห่งแรกที่หลานหลวง โดยธุรกิจได้มีการพัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
จนกระทั่ง ปี'39 ที่ผ่านมา "โค้ก" ได้มียอดขายสูงขึ้นถึง 11% และส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยสูงถึง
58%
"กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทนี้มีลักษณะเหมือนกันทั่วโลกคือ
นำจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทมาประสานกัน ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าในการลงทุน
โดยเฉพาะในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน" เคิร์ก วีลเลอร์ ผู้จัดการภูมิภาคประจำประเทศไทย
แห่ง โคคา-โคลา (ประเทศไทย) กล่าว ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวก็คือ "จุดแข็งด้านการจัดจำหน่ายของโคคา-โคลา
ร่วมกับจุดแข็งในรสชาติกาแฟของเนสท์เล่" นั่นเอง
นอกจากนั้น วีลเลอร์ ยังเล่าความเป็นมาของการร่วมทุนครั้งนี้ด้วยว่า "การร่วมทุนของทั้ง
2 บริษัทในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับโลกของทั้ง 2 บริษัท เพื่อเพิ่มและรักษาผลประโยชน์แก่ลูกค้าและผู้บริโภค
โดยเฉพาะนโยบายระยะยาวในการดำเนินการและพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์"
และเพื่อเป็นการตอกย้ำความร่วมมือครั้งสำคัญในตลาดเครื่องดื่มไทย "โคคา-โคลา
เนสท์เล่ เบเวอเรจ (ประเทศไทย)" จึงได้เปิดตัวเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูปชนิดกระป๋อง
2 รสชาติ ได้แก่ "เนสกาแฟ เอ็กซ์ตร้า" และ "เนสกาแฟ คาเฟโอเล"
ด้วยรูปโฉมที่สะดุดตา โดย "เนสกาแฟเอ็กซ์ตร้า" เป็นกาแฟรสชาติอร่อยเข้มหอมรสกาแฟแท้
ซึ่งบรรจุอยู่ในกระป๋องสีเขียวสดใส มีตราสัญลักษณ์ "NESCAFE" เป็นแนวตั้ง
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟรสเข้มข้น ส่วน "เนสกาแฟ คาเฟ โอเล"
ในกระป๋องสีทอง เป็นกาแฟที่มีรสชาติหอมมัน กลมกล่อม เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความอร่อย
หวานมันของกาแฟเย็น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในครั้งนี้ถือเป็นการบุกตลาดกาแฟกระป๋องที่น่ากลัวสำหรับคู่แข่งทีเดียว
"ด้วยคุณสมบัติสุดยอดของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้เราก้าวเป็นผู้นำในตลาดกาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่มประเภทกระป๋องของไทย
และเราก็มีความเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ของเราจะมีอัตราเติบโตถึงปีละ 50% ในระยะเวลา
2 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน" วีลเลอร์กล่าวอย่างเชื่อมั่น
นอกจากนี้ โทมัสเอส โคลีย์ ประธานกรรมการบริหารเนสท์เล่ (ประเทศไทย) ก็ได้กล่าวด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกันว่า
"จากชื่อเสียงและภาพพจน์ของเนสกาแฟ ผนวกกับราคาที่เหมาะสมภายใต้การร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้เราเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดกาแฟพร้อมดื่มนี้แน่นอน"
ซึ่งผลจากการสำรวจตลาดก่อนที่จะมีการออกตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ก็พบว่า ผู้บริโภคต่างก็ชื่นชอบในรสชาติของเนสกาแฟ
เอ็กซ์ตร้า และเนสกาแฟ คาเฟ โอเล มากกว่าของคู่แข่งรายอื่น อีกทั้งตลาดกาแฟในเมืองไทยยังเล็กมาก
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียด้วยกัน โดยตลาดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เกาหลี
โดยมีอัตราการบริโภคสูงถึง 300 แก้วต่อคนต่อปี รองลงมาก็คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
และฟิลิปปินส์ ส่วนในประเทศไทยปริมาณการบริโภคกาแฟมีเพียง 60 แก้วต่อคนต่อปีซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก
จึงเป็นโอกาสที่ดีทางการตลาดของ "เนสกาแฟเอ็กซ์ตร้า" และ "เนสกาแฟ
คาเฟ โอเล" ที่จะรุกตลาดกาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่มประเภทกระป๋องให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้โดยไม่ยากนัก