ยกใหม่แผนแม่บทฯ โทรคมนาคม 6 ล้านเลขหมายชนวนล้มกระดาน


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

แม้แผนแม่บทพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศไทย จะผ่านการพิจารณาร่างมาแล้วหลายรอบหลายคราจากทั้งฝ่ายรัฐคือกระทรวงคมนาคม และภาคเอกชนผู้มีส่วนเข้าไปร่วมในการร่างแผน แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน

ประเด็นที่ขบไม่แตกว่าควรผลักดันให้มีการเปิดแผนแม่บทเสรีขึ้นใช้เป็นรูปธรรมซักทีนั้น เป็นเพราะรัฐมัวกังวลกับการมีแผนฯ มากจนเกินไปหรือไม่ แทนที่จะมุ่งไปที่เนื้อหาสาระเรื่องความต้องการพัฒนากิจการโทรคมนาคมโดยเปิดเสรีธุรกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคมของไทย ไม่ให้มีการผูกขาดแค่หน่วยงานรัฐอีกต่อไป

ขณะที่ความต้องการของภาคเอกชนฟากที่ทำโทรศัพท์มือถือมุ่งหวังให้มีการเปิดประมูลขยายการติดตั้งโทรศัพท์อีกเป็นจำนวน 6 ล้านเลขหมาย โดยนำเสนอข่าวสาร และข้อมูลเพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐ เร่งเปิดประมูล

โดยมองว่ากระทรวงคมนาคมยุคนี้วางโครงการแผนแม่บทฯ เพื่อเอื้อกับกลุ่มเอกชนที่ต้องการมีโทรศัพท์มือถือคลื่นใหม่ในมือ

ขณะที่ดิเรก เจริญผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเคยเป็นผู้บริหารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมาก่อน ยังไม่เห็นด้วยที่จะให้เปิดการประมูลตอนนี้ เพราะต้องการทราบข้อมูลที่แท้จริงก่อนว่า โทรศัพท์ 4.1 ล้านเลขหมายที่ทำการติดตั้งโดยบริษัท เทเลคอมเอเชีย จำกัด และบริษัท ไทย เทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด หรือทีเอ และทีทีแอนด์ทีนั้นจำหน่ายออกไปหมดแล้วหรือยัง

อีกประเด็นก็คือ หากมีการเปิดเสรีด้านโทรคมนาคมสัญญาสัมปทานที่หน่วยงานรัฐทำไว้กับเอกชนรายเดิมๆ ทั้งหลายจะมีปัญหายุ่งยากอย่างไรบ้าง หากปมของทั้งสองเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ตก นโยบายจากกระทรวงคมนาคมให้ทำการเปิดประมูลโทรศัพท์จำนวนใหม่ก็คงยังไม่เกิดขึ้น

ที่มาที่ไปของแผนแม่บทพัฒนากิจการโทรคมนาคมเกิดขึ้นในสมัยที่วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเมื่อมีการปรับรัฐบาลใหม่ กระทรวงคมนาคมก็ได้สมบัติ อุทัยสาง มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโควตาคนนอก โดยเมื่อเข้ามา สิ่งที่สมบัติดำเนินการก็คือปรับปรุงแผนแม่บทฉบับเดิมของวิชิต

แน่นอนว่าเป็นเพราะสมบัติยังคงข้องใจและไม่เห็นด้วยกับแผนของวิชิตในหลายเรื่องหลายประเด็น อย่างเรื่องแผนระยะสั้นในการขยายการติดตั้งโทรศัพท์ทางไกลชนบท ซึ่งก็น่าจะอยู่ในแผนพัฒนาฯของประเทศอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจับไปใส่ในแผนแม่บทระยะสั้น เพราะอาจทำให้การดำเนินการล่าช้าเพราะต้องรอแผนหลัก

สมบัติจัดการปรับเปลี่ยนแผนเดิมประการแรกก็คือ การเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในนาม กสช. พร้อมกับเพิ่มตำแหน่งกรรมการเข้าไปอีก 2 คนคือให้ปลัดกระทรวงคมนาคม และอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง

ต่อมาก็คือ ยกเลิกการตัดแบ่ง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ที่จะถูกผ่าออกเป็นหน่วยละ 2 ส่วน ด้วยเหตุผลใหญ่เพราะได้รับการคัดค้านจากพนักงานรัฐวิสาหกิจของทั้ง ทศท. และ กสท.

กรณีการคุ้มครองหน่วยงานรัฐอย่างทศท.และกสท. ซึ่งวิชิตต้องการให้คุ้มครอง 5 ปี แต่สมบัติขอเปลี่ยนเป็น 3 ปีเพราะเห็นว่าระยะ 5 ปีนั้นนานเกินไปที่จะให้หน่วยงานทั้งสองปรับปรุงตัวเองเพื่อรองรับการเปิดเสรี และจะเป็นการได้เปรียบเอกชนรายอื่นมากเกินไป หากต้องเข้าไปแข่งขันในการดำเนินโครงการด้านโทรคมนาคม

ส่วนกิจการไปรษณีย์ของกสท.นั้น เนื่องจากเป็นกิจการที่ดำเนินการโดยไม่มีกำไร และต้องถูกตัดแบ่งออกมาจากกสท. จึงควรให้ กสช.ให้เงินช่วยเหลือกิจการนี้เป็นจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยอยู่ในระยะที่ได้รับการดูแลเป็นเวลา 5 ปี

ประเด็นเรื่องสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับเอกชนทั้งหลายนั้น จะต้องมีแนวทางและมาตรฐานเพื่อให้ทุกสัญญามีความเป็นธรรมทัดเทียมกันหมด

เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือโครงการขยายการติดตั้งโทรศัพท์ 6 ล้านเลขหมายตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ให้ทศท.เป็นผู้ดำเนินการเอง 1 ล้านเลขหมาย ส่วนที่เหลืออีก 5 ล้านเลขหมายนั้นให้ทำการประมูลแบบ BTO หรือ BUILT TRANSFER OPERATE และใช้ระบบโซน เอกชน 1 รายที่เสนอผลตอบแทนสูงสุดก็จะได้ไป 1 โซน

แผนฉบับร่างของสมบัติถูกเสนอไปที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2538 กว่าที่จะมีการพิจารณาจากทางครม.แล้วส่งเรื่องกลับมาให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาทบทวน ให้ดูเรียบร้อย และผ่านการกลั่นกรองจากปลัดกระทรวงคมนาคมอีกครั้งก็คือเดือนสิงหาคม 2539

นับได้ว่าเป็นแผนแม่บทที่มีระยะเวลาเดินทางยาวนานมาก ซึ่งคงไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อมาถึงยุคของดิเรก รัฐมนตรีคนนอกสังกัดพรรคชาติพัฒนา ก็มีการนำแผนแม่บทกลับมารื้อดูใหม่อีกครั้ง ตามเหตุผลเรื่องเลขหมายที่ยังคั่งค้างอยู่ของเอกชนทั้งสองราย และสัญญาสัมปทานกับเอกชนรายเดิมที่ยังหาข้อยุติไม่ได้

แม้ดูเหมือนว่าหลายคนที่เคยเกี่ยวข้องกับการเข้าไปขัดเกลาแผนแม่บทฯ ฉบับใหม่นี้ยาหอมว่าเห็นด้วยกับตัวรายละเอียด แต่ก็ยังมีข้อติติงออกมาว่าทำไมถึงได้ล่าช้า เพราะบางเรื่องสามารถดำเนินการได้ไปก่อน

ขณะที่ความต้องการของรัฐมนตรีดิเรกคือ การประมูลโทรศัพท์ชุดใหม่ไม่ควรใช้แบบ BTO เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยากด้านสัญญากับเอกชนหากมีการเปิดเสรีขึ้น

หน่วยงานรัฐอย่างทศท. และกสท.ก็ควรรวมเป็นองค์กรเดียวกัน เพื่อเข้าไปแข่งขันกับเอกชนอย่างเต็มที่ แม้จะดูเหมือนว่าได้เปรียบภาคเอกชนอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเอกชนทุกเรื่อง เพราะต้องเข้าสู่ระบบการแข่งขันแบบเสรีโดยไม่มีใครโอบอุ้มอีก

สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องที่ถูกคัดค้านจากพนักงานรัฐวิสาหกิจของทั้งทศท. และ กสท. เหมือนว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งหน่วยงานของรัฐไปเสียอีก เพราะไม่เป็นการคุ้มครองหน่วยงานเดิม

ข้อวิตกตรงนี้ส่งผลต่อการดำเนินการผลักดันแผนแม่บทฯ ที่ต้องล่าช้าไปอีก

แม้ว่าจะมีหลายอย่างที่ฝ่ายกระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินไปก่อนได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการ กสช. ขึ้นมาเป็นตัวกลางหลักในการควบคุมดูแลกิจการด้านโทรคมนาคม การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านโทรคมนาคม 3 ฉบับ การแปรรูป ทศท. และกสท. การประมูลขยายการติดตั้งโทรศัพท์ โดยเน้นถึงเลขหมายโทรศัพท์ต่อประชากรว่าควรเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่

แต่กลับไม่มีการดำเนินการเลย อีกทั้งเป็นเรื่องที่คิดกันมาอย่างน้อย 25 ปี ก่อนร่างแผนของวิชิตจะออกมาเสียอีก

จึงกลายเป็นว่าตัวแผนแม่บทฯ แท้จริงแล้วควรมีหรือ

ด้วยเหตุผลว่าหากไม่มีแผนแม่บทฯ การดำเนินการเปิดเสรีด้านกิจการโทรคมนาคมก็สามารถทำได้ และการมีแผนแม่บทฯ ก็ส่งผลให้ส่วนอื่นๆ ที่ควรเร่งดำเนินการไปก่อนชะงักงัน

ส่วนทางผู้ยึดมั่นในแผนแม่บทฯว่า หากไม่มีแผนหลักเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศก็ไม่เป็นไปตามครรลองที่ควรเป็น เพราะจะหาทิศทางที่แท้จริงไม่ได้

แผนแม่บทในช่วงของดิเรกจึงเป็นการเผชิญการบีบคั้นอย่างมาก เพราะระยะเวลาที่กิจการโทรคมนาคมสมควรเดินต่อไปข้างหน้าที่ไกลกว่านี้กำลังรอสัญญาณที่ชัดเจน จากยุควิชิตที่มีการรวบรวมให้เป็นมาตรฐาน ยุคสมบัติที่นำมาขัดเกลาให้ได้ดังใจของคนหลายคน

จึงเป็นจุดของการตั้งคำถามที่แผนแม่บทฯ ควรจะมีอยู่ต่อไปหรือยกเลิกไปเสียที ไม่อย่างนั้นรัฐก็ต้องเปิดประมูลโทรศัพท์ 6 ล้านเลขหมาย ปัญหาเรื่องการยุบทิ้งแผนแม่บทฯจะได้สงบลงไปได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.