ปี 49 คอนโดฯแนวรถไฟฟ้ามาแรง-แข่งดุ


ผู้จัดการรายวัน(2 มกราคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ในต้นปี 2548 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่า จะประสบกับภาวะผันผวนอย่างหนัก จนทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในทุกเซกเตอร์ แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะชะงักงัน ถึงขั้นมองกันไม่ออกว่าจะมีทิศทางไปอย่างไร แม้ว่าในช่วงปลายปี 2547 ผู้ประกอบการในตลาดจะคาดการณ์กันว่า ตลาดบ้านเดี่ยวจะเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจ และเป็นตลาดที่มีอัตราการขายตัวสูงที่สุด ตาม มาด้วยทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม แต่จาก ภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดเหตุการณ์ที่พลิกความคาดหมาย กลับกลายเป็นที่ยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่มีอัตราการขยายตัว และยอดขายสูงที่สุดในตลาดตามด้วยทาวน์เฮาส์

ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะการปรับตัวของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปรับตัวขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัย หรือกำลังจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยต้องชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน ซึ่งสาเหตุ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลง และการขาดความเชื่อมันต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ที่ดูเหมือน ว่าจะยังแกว่งตัวไม่หยุด แต่ที่สำคัญคือ สินค้าที่ออกสู่ตลาดที่อยู่อาศัย ยังมีรูปแบบ และราคา ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ทำให้ไม่สามารถเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้

ซึ่งต่อมาในช่วงกลางปี ผู้ประกอบการเริ่มหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกออกสู่ตลาด โดยเน้นทำเลเกาะแนวรถไฟฟ้า และทาวน์เฮาส์ที่ออกมาในย่านกลางเมืองหลังจากที่มีการศึกษาและทำวิจัยตลาดมากขึ้น จนพบว่า ความต้องการของตลาดและกำลังซื้อ ที่ใหญ่ที่สุดคือกลุ่มผู้บริโภค 2 กลุ่มดังกล่าว ทำให้ในช่วงปลายปี 2548 ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างชนิด ที่เกินความคาด หมายจนทำให้คอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า และทาวน์เฮาส์กลางเมืองมียอดขายกันอย่างถล่มทลาย จับตาดอกเบี้ยลดอำนาจซื้อผู้บริโภค

ส่วนในปี 2549 ทิศทาง และแนวโน้มความ ต้องการของตลาดอสังหาฯ จะมีเทรนด์การพัฒนาไปในตลาดใดนั้น "ผู้จัดการรายวัน" ได้ ขอนำแนวคิด และมุมมองของผู้บริหารระดับสูง จากบริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) โดยดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ที่ผ่านประสบการณ์บริหารในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยแนวคิดการตลาดผสมผสานการทำวิจัย มาพัฒนาสินค้าสู่กลุ่มผู้บริโภค เป็นการรับศักราชใหม่ในปีจอนี้

ดร.ธีระชนกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าในปี49 นี้ อยากให้พิจารณากันที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกันก่อนซึ่งในปีนี้ คาดว่าจะมีการ ปรับขึ้นอีกประมาณ 1-2% จากที่ปี 48 ที่ผ่านมาดอกเบี้ยปรับขึ้นไปแล้ว 2% ซึ่งเมื่อนับรวมแล้วเท่ากับว่าใน 2 ปีนี้ อัตราดอกเบี้ยได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4% ทำให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลงถึง 30% นั่นหมายถึงความสามารถซื้อบ้านได้หลังเล็กลง

ปัจจัย อีกตัวหนึ่งที่มีผลต่อตลาดคือ ราคา น้ำมันแต่เชื่อว่าในปีนี้น้ำมันจะไม่ส่งผลรุนแรงอะไร โดยคาดว่าระดับราคาขายในตลาดโลกน่าจะอยู่ที่ประมาณ 45-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เท่าๆ กับปี 48 จีดีพีของประเทศเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 4.5-5% ซึ่งจะดูได้จากการว่างงานของประชากรที่มีอัตราลดลง ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้ออยู่ แม้ว่าจะไม่สูงมากก็ตาม นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวของประชากรในพื้นที่กทม.และปริมณฑลยังอยู่ในระดับ 1% ของจำนวนประชากรประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งนั่นหมายถึงความต้องการที่อยู่อาศัยก็ยังเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน อัตราการขยายตัวของการ ขออนุญาตจัดสรรในปี 48 ที่ผ่านมามีจำนวนที่ลดลง หรือมีการเปิดโครงการลดน้อยลงด้วยนั่นเอง โดยสัดส่วนของการลดลงในการเปิดตัวโครงการเมื่อเทียบกับปี 47 แล้วจำนวนลดลงถึง 30% หรือคิดเป็นมูลค่าขายที่ลดลงประมาณ 40% และคาดว่าในปี 49 แนวโน้มการเปิดตัวโครงการและมูลค่าขายในตลาดจะลดลงอีก ซึ่งสาเหตุที่จำนวนการเปิดตัวโครงการ ลดน้อยลงนั้นเนื่องจาก ในปีหน้าแบงก์จะเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อโครงการมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้ามาพัฒนาโครงการได้ยากขึ้น และจากการที่สินค้าในตลาดน้อยลง

ขณะที่กำลังที่ต้องการซื้อบ้านมีอำนาจซื้อบ้านลดลง ทำให้ในปี 49 นี้ ผู้ประกอบการต้องผลิต สินค้าที่มีขนาดเล็กลง ราคาต่ำลง โดยในปี 46 ราคาขายในตลาดรวมเฉลี่ยประมาณ 3 ล้านบาทต่อหน่วย แต่ปี 47 ราคาเฉลี่ยขึ้นไปอยู่ที่ 3.8 ล้านบาท ซึ่งต่อมาในปี 48 ราคาขายเฉลี่ยลดลง มาอยู่ที่ 3.1 ล้านบาท เพราะสาเหตุดังกล่าวข้างต้น และในปีนี้ยิ่งกำลังซื้อลูกค้าลดจากแนวโน้มดอกเบี้ย ทำให้ประมาณการว่าราคาเฉลี่ยจะลดลงมาอยู่ที่ 2 ล้านบาทปลายๆ

ปรับลดขนาด-ราคารับกำลังซื้อหดตัว

ดร.ธีระชนกล่าวว่า ราคาขายบ้านเฉลี่ยจะลดลงมาอยู่ที่ 2 ล้านกว่าบาท เพราะรายใหญ่ ในตลาดจะลงมาทำบ้านขนาดเล็กมากขึ้น ราคา ก็ต่ำลงด้วย โดยปีที่ผ่านมาบริษัทจัดสรรรายใหญ่ในตลาดอย่าง บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ออกมาประกาศว่าจะผลิตบ้าน เดี่ยว 2 ล้านบาท, บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)ลงมาทำบ้านเดี่ยว 4 ล้านบาท ขณะที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด(มหาชน) และในส่วนของเพอร์เฟคฯ ลงมาเจาะกลุ่มทำตลาดบ้านระดับ 3 ล้านบาท

"ถึงรายใหญ่จะเข้ามาในตลาดล่างมากขึ้น ราคาบ้านเดี่ยวจะถูกลงแต่คาดว่าการแข่งขันจะไม่รุนแรง เพราะดีมานด์บ้านถูกมีสูงกว่าซัปพลายในตลาด ส่วนบ้านแพงก็มีจำนวนน้อยอยู่ เพราะซัปพลายลดลงไปมาก แต่ไม่ค่อยมีสินค้าเข้ามาทดแทน"

ส่วนทาวน์เฮาส์ จะว่าไปแล้วในปีที่ผ่านมา นับว่ามาแรงไม่แพ้คอนโดมิเนียม ทำให้ในปีนี้ทุกค่ายเตรียมหันมาทำทาวน์เฮาส์กันหมด มีเพียงบางรายที่ยังไม่เข้ามา ซึ่งนั่นแล้วแต่เหตุผล และมุมมองของบริษัท แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลางในตลาดเกือบทุกราย ต่างหันมาเตรียมผลิตทาวน์เฮาส์ออกสู่ตลาดในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่อย่างแลนด์ฯ, คิวเฮ้าส์ ก็ออกมาทำเองแล้ว ส่วนเพอร์เฟคจะให้ บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาในบางส่วน ด้านบริษัทเอเชี่ยนฯ จับตลาด นี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และปีนี้ก็เตรียมรุกหนักเพิ่มขึ้น ส่วนแสนสิริ เองก็มีบริษัทลูกอย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด เข้ามาทำตลาดทาวน์เฮาส์อยู่ นอกจากนี้ บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ก็เริ่มผลิตทาวน์เฮาส์ เข้ามาแชร์ตลาดตั้งแต่ปี 48 แล้ว

"การทำโครงการทาวน์เฮาส์ สิ่งสำคัญต้อง หาที่ดิน ให้ได้มาในราคาไม่เกินไร่ละ 2 ล้านบาท ถ้าสูงไปกว่านี้ลำบาก ต้องปรับไปพัฒนาบ้านเดี่ยว แทน และแนวโน้มในปีนี้ ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาออกมาถ้าหากเป็นทาวน์เฮาส์ในย่านในเมือง คาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ส่วนนอกเมืองจะมีราคาประมาณ 2 ล้านบาทลงมา จากที่ปี 48 ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.2 ล้านบาท"

ดร.ธีระชนกล่าวว่า สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม ปีนี้นับว่าเป็นปีแห่งการแข่งขัน คาดว่าราคาเฉลี่ยในตลาดรวมจะลงมาอยู่ที่ 2 ล้านบาท จากปี 48 ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านบาท เพราะทุกค่ายในตลาดออกมาทำคอนโดฯราคาถูกกันหมด แยกเป็นค่ายเพอร์เฟคฯ ทำโครงการเมโทร พาร์ค, เอ็น.ซี.ฯ ก็ลงมาร่วม ศุภาลัยฯ มีแผนลุยต่อคอนโดฯ 1-2 ล้านบาท ยึดแนวสถานีรถไฟฟ้า ยิ่งบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เองที่เป็นเจ้า ตลาดนี้อยู่ และจะลงมาเล่นในตลาดคอนโดฯ ราคา 5 แสนบาทต่อยูนิตตลาดเดียวกับ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ทำให้ราคาเฉลี่ยคอนโดฯลดลงมา

ส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการในตลาดลงไปจับตลาดระดับ 5 แสนบาทต่อยูนิต เพราะในปีนี้ รายใหญ่อย่าง แลนด์ฯ และรายอื่นๆ ในตลาด ลงมาแชร์ตลาดเดิมมากขึ้น ทำให้ต้องลงไปในตลาดล่างมากขึ้น แต่การลงไปตลาดล่างมากๆ ก็ทำให้กำไรเบื้องต้นลดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดฯในปีนี้ก็ยังเติบโตอยู่ เพราะรายเล็กไม่สามารถเข้ามาเพิ่มส่วนตลาดได้เหมือนช่วงก่อนๆ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เข้มเรื่องการปล่อยกู้สินเชื่อโครงการนั่นเอง จากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดเรื่องปล่อยกู้สินเชื่อโครงการขึ้นนี้เอง ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยสามารถแชร์ตลาดได้น้อยลง ส่งผลให้ในปีนี้ ผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯมีแชร์ ในตลาดรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 50% จาก เดิมที่ปี 48 แชร์ตลาดอยู่ประมาณ 46% ทั้งนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายๆราย เข้ามาจดทะเบียนอยู่ในตลาดเพิ่มขึ้นด้วย

โดยสรุปๆ แล้วประมาณการว่าในปีนี้ บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโดมิเนียม ทั้ง 3 เซกเตอร์ จะมีขนาดที่ลดลง สเปกลดลง ราคาเฉลี่ยก็ลดลงด้วย เพื่อปรับเข้าหาดีมานด์กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีอำนาจการซื้อที่ลดลง จากแนวโน้มการ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนการแข่งขันในตลาด คาดว่าจะแข่งขันกันด้วยคุณภาพของสินค้ารูปแบบของตัวโปรดักต์ที่ออกมา

ทำเลใหม่บ้าน-ทาวน์เฮาส์-คอนโดฯ

สำหรับแนวโน้มทำเลที่คิดว่าในปีนี้ น่าจะมีการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมนั้น คาดว่าผู้ประกอบการยังคงให้ความสำคัญกับการเกาะติดแนวระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของกรุงเทพฯ สายสีแดงเส้นแอร์พอร์ตลิงก์ รถไฟฟ้าสายเหนือ บางซื่อ-บางใหญ่ จากเดิมที่เคยเกาะกลุ่มกันอยู่ในช่วงถนนสุขุมวิทเป็นหลัก ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงต้นทุนการเดินทางกันมากขึ้น รวมถึงในอนาคตการเชื่อมต่อการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าจะทำให้การเดินทางเชื่อมต่อกันด้วยรถไฟฟ้าทั้งหมดด้วย

นอกจากนี้ ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังเป็นอีกทำเลหนึ่ง ที่ในปีนี้ผู้ประกอบการคอนโดฯ ยังทำราคาแพงอยู่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาดีมานด์ยังมีอยู่เยอะ กลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีความต้อง การที่อยู่อาศัย และในช่วงที่ผ่านมาคอนโดฯราคา แพงเริ่มชะลอการผลิต ในขณะที่สต๊อกเดิมมีการระบายออกไปตลอดเวลา โดยทำเลที่คาดว่าจะมีการขึ้นโครงการใหม่จะเป็นย่านพระราม 3 ซึ่งเป็นทำเลที่มีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นจุดขายอย่างดี ย่านบางรัก ส่วนย่านสุขุมวิท สาทรยังคงเป็นทำเลหลักของคอนโดมิเนียมราคาแพงอยู่

ส่วนทำเลที่คาดว่าจะได้รับความสนใจและมีการพัฒนาโครงการประเภททาวน์เฮาส์ ระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นทำเลในย่านที่ใกล้เข้ามาในพื้นที่กลางเมืองมากขึ้น โดยจะมีค่ายใหญ่ๆ เข้ามาร่วมแชร์ตลาดกันประมาณ 5-6 รายคือแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่อยู่ ติดสถานีแต่จะห่างออกไปเล็กน้อยหรือมีถนนสายหลัก-สายรองเชื่อมต่อเข้าออกได้สะดวก ส่วนทำเลย่านนอกเมืองออกไปคาดว่าจะเป็นทำเล ในย่านถนนสายรังสิต, ธนบุรี, พัฒนาการ, อ่อนนุช ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะพัฒนาทาวน์เฮาส์ระดับราคา 1-2 ล้านบาท

ทำเลของโครงการบ้านเดี่ยวที่คาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการใหม่ และได้รับความสนใจกันคาดว่าจะเป็นย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งเหมาะสำหรับขึ้นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีทำเลในย่านบางใหญ่ ซึ่งมั่นใจว่าในปีหน้าค่ายอื่นจะพัฒนาโครงการระดับดังกล่าวในย่านนี้ ส่วนทำเลย่านอ่อนนุชใกล้กับถนนสุขุมวิท คาดว่าจะเป็นตลาดของกลุ่มบ้านเดี่ยว 4-5 ล้านบาทอยู่ โดยเฉพาะทำเลที่สามารถเดินทางเชื่อมแหล่งชอปปิ้ง ผู้ประกอบการจะสนใจพัฒนาบ้านเดี่ยวกันมากอาทิ แจ้งวัฒนะ, บางแค-มหาชัย, พระราม2
ด้านนายวสันต์ คงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัทเอเจนซี ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AERA) ให้ความเห็นว่า ในปี 49 นี้คอนโดมิเนียมระดับล่างราคาต่ำกว่า 4 แสน บาทจะยังไม่เกิดขึ้นมากนัก แต่จะเป็นคอนโดฯระดับ 8 แสนถึง 2 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งกลุ่มนี้จะได้เห็นมากในโซนอ่อนนุช, รัชดาภิเษก, ลาดพร้าวช่วงต้นๆ และในย่านรัชโยธิน

ส่วนคอนโดมิเนียมราคาแพงจะยังเกาะกลุ่ม อยู่ในย่านถนนสีลม, สาทร, สุขุมวิท ช่วงต้นๆ ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้ง และย่านเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญกรุง ถนนพระราม 3 คาดว่าจำนวนการผลิตจะมีไม่มากนัก เนื่องจาก กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มลูกค้าขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมราคาแพง ระดับ 20-30 ล้านบาทขึ้นไป โดยในปี 48 ที่ผ่าน มาโครงการระดับนี้มีจำนวนเพียง 2,000 หน่วย ที่พัฒนาใหม่คิดเป็น 3% ซัปพลายในตลาดรวม

ส่วนคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-3 แสนบาทต่อยูนิต คาดว่าจะยังไม่มีการผลิตออกมา เพราะซัปพลายเดิมยังเหลืออีกจำนวนกว่า 3 แสนยูนิต อาทิ ในย่านถนนบางกะปิ สวนหลวง ร.9, ถนนพุทธมณฑล ย่านพื้นที่ระหว่างถนนปิ่นเกล้า-จรัญสนิทวงศ์ ที่อยู่ด้านในเข้าไป นอกจากนี้ ยังมีอยู่ในย่านโรงงานอุตสาหกรรม และเขตพื้นที่ชั้นนอก เช่น มีนบุรี, บางแค, สมุทรปราการ, บางปู ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการ ระบายออกไปอย่างน้อย 2-3 ปี

บ้านเดี่ยวขนาดเล็กลงไกลเมืองออกไป

ส่วนโครงการประเภทบ้านเดี่ยว คาดว่าในปี 49 ผู้ประกอบการในตลาดจะมีการลดขนาดบ้านให้เล็กลง เนื่องจากดอกเบี้ยแพงขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคจึงลดลงจากปี 48 และนอกจากขนาดบ้านจะเล็กลงแล้วทำเลในการพัฒนาก็จะขยับไกลออกไปอีก โดยบ้านแพงจะ ยังอยู่ในย่านใจกลางเมืองเช่นเดิม ส่วนแนวโน้ม บ้านเดี่ยวในปีนี้ ผู้ประกอบการจะขยับลงมาพัฒนาบ้านระดับกลาง-ล่างมากขึ้น ทำให้คาดว่าจะมีบ้านที่อยู่เขตรอบนอกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยทำเลที่มีความเหมาะสมและจะสามารถพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับกลาง-ล่างได้จะอยู่ในย่าน สนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ บางพลี-บางบ่อ โดยราคาขายจะอยู่ในระดับ 1-3 ล้านบาท

ส่วนพื้นที่อื่นๆ จะอยู่ในย่าน นนทบุรี ย่าน ถนนราชพฤกษ์ ย่านบางบัวทอง สะพานนวลฉวี บางขุนเทียน มหาชัย วงแหวนอุตสาหกรรม วงแหวนด้านใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตเป็นหลัก ส่วนทำเลที่คาดว่าจะมีการพัฒนารองลงมาคือ ย่านวงแหวนรอบนอก ถนนนิมิตรใหม่ ลำลูกกา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบ้านราคาถูก

ทาวน์เฮาส์บีโอไอผุดเป็นดอกเห็ด

สำหรับตลาดทาวน์เฮาส์ แนวโน้มในปีนี้คาดว่าผู้ประกอบการจะเข้ามาพัฒนาโครงการระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่จะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านั้น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้ผลิตรายหลักจะขายดีมาก ทั้งนี้ ในปี 49 นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) เตรียมที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างบ้าน ราคาถูกในย่านแนวรถไฟฟ้า มักกะสัน สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ตลิงก์สุวรรณภูมิ บางซื่อ บางใหญ่ ด้วย การยกเว้นภาษีรายได้บุคคลให้ประมาณ 30% จะทำให้มีการพัฒนาทาวน์เฮาส์ราคาถูกออกมาจำนวนมาก โดยคาดว่าการพัฒนาทาวน์เฮาส์ดังกล่าวจะออกไปในย่านรอบนอก เช่น พื้นที่ กทม. ด้านใต้ บางพลี, รังสิต ลำลูกกา, บางบัวทอง โซนตะวันตก กทม. เช่นถนนพุทธมณฑล สาย 4-5 ถนนเพชรเกษม โซนด้านใต้กทม. เช่น มหาชัย พระราม2 -สมุทรสาคร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.