สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคผู้เคยมีฉายาว่า "เสือกระดาษ"
กำลังจะลบภาพเก่าๆ ให้หมดไปทีละน้อย
ด้วยนโยบายเชิงรุก "กันก่อนแก้"
เตรียมดันร่างสัญญามาตรฐานที่เป็นธรรมแก่ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคออกใช้
โดยพัฒนาจากสัญญามาตรฐานเดิม 5 ฉบับที่เคยมีแต่ใช้ไม่ได้ผล
พร้อมๆ กับแผนการเปลี่ยนจากสำนักเป็นกรม
หากร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ผ่านตามเป้าหมาย
เรื่องภาพที่เป็นเสือกระดาษ หรือแดนสนธยา เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนมองเป็นกระจกเงาสะท้องมาที่เรา
จะให้สคบ.วิจารณ์เองไม่ได้ แต่ตั้งแต่ผมเข้ามาทำเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2538
ก็พยายามลบภาพลักษณ์เหล่านี้" นายอนุวัฒน์ ธรมธัช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
หรือสคบ. กล่าวถึงภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยงาน พร้อมทั้งเล่าถึงที่มาว่า
ภาพที่เกิดขึ้นมีองค์ประกอบมาจากครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่สคบ.เป็นเพียงกองคุ้มครองผู้บริโภค
ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เพียงกองๆ หนึ่งของหน่วยงานราชการ การให้ข่าวสารจะมีระเบียบของทางราชการอยู่ว่า
หัวหน้าหน่วยราชการจะเป็นผู้อนุมัติว่าจะให้ข่าวหรือไม่
แต่ครั้งนั้นผู้อำนวยการกอง หรือมีตำแหน่งข้าราชการระดับ 6 ของกองคุ้มครองผู้บริโภค
ซึ่งมีหน้าที่ให้ความรู้ในการเป็นวิทยากรบรรยายในสถาบันต่างๆ ซึ่งมีการคุ้มครองผู้บริโภคอยู่ทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นในระดับอุดมศึกษากว่า 1,000 แห่ง
"ก็มีอยู่คราหนึ่งก็เกิดมีการบรรยายปกติแล้วในการบรรยายก็มีโครงสร้างว่า
ปัญหาการทำงานและอุปสรรค ผู้บรรยายในตอนนั้นก็บรรยายว่า ปัญหาก็คือ งบประมาณน้อย
คนน้อย เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย และผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยให้ความสนใจ
พอมาประเด็นสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นบรรยายในโรงเรียนทหารและมีผู้สื่อข่าวไปฟัง
ลงหนังสือพิมพ์เขียนไป ก็เป็นเรื่องของงานวิชาการ แล้วทางกองงานโฆษก ก็ตัดข่าวไปให้ผู้บริหารก็กลายเป็นว่าถูกเรียกขึ้นไป
หาว่าไปว่า" ผู้อำนวยการสคบ.กล่าว
เมื่อผู้บรรยายถูกตำหนิ ทำให้การทำงานต่อๆ มาจึงเกิดความกลัวเกรงและไม่ค่อยกล้าปฏิบัติและเผยแพร่ข่าวสู่สาธารณชน
แล้วทำงานกันไปแบบราชการ นับแต่นั้นมาสคบ.จึงได้ชื่อว่าเป็นแดนสนธยาประกอบกับการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ค่อยมีบทบาทจึงถูกขนานนามต่อไปว่าเป็นเพียงเสือกระดาษ
เพื่อเป็นการลบภาพดังกล่าว ผู้อำนวยการสคบ.กล่าวว่า ภายหลังจากที่เข้ามารับงาน
ได้พยายามที่จะเผยแพร่ข่าวสารให้กว้างขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นหน่วยงานที่อยู่เงียบจนเรียกเป็นแดนสนธยาเหมือนที่ผ่านๆ
มา
"การตำหนิครั้งนั้นผมไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นผมๆ พร้อมจะให้ติ แล้วมาในยุคที่ผมเข้ามาดูแลสคบ.ก็มีนโยบาย
เผยแพร่การทำงานมากขึ้นในทุกขั้นตอน และพร้อมที่จะให้ตำหนิติชมหากแต่ควรจะมีข้อเสนอและชี้แนะแนวทางมาในข้อตำหนินั้นพร้อมกันด้วย"
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าภาพในอดีตของสคบ.ก็เริ่มจางลงแล้วในปัจจุบัน
เพราะมีการเปิดกว้างสู่สาธารณะมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นมานาน เพราะการคุ้มครองผู้บริโภคควรจะเป็นเรื่องที่ใกล้ชิดกับประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภคนั่นเอง
ขณะเดียวกันนี้สคบ.กำลังอยู่ระหว่างการเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค
เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปลี่ยนบทบาทเป็นกรมให้มีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่คงจะเข้าสภาในสมัยประชุมวาระที่
2 ที่จะถึงนี้ และร่างพ.ร.บ.ที่เสนอเข้าไปในครั้งนี้เป็นการเสนอร่วมกัน 3
ฉบับ คือ ของรัฐบาล 1 ฉบับ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 2 คนคือนายแพทย์เปรมศักดิ์
เพียยุระ พรรคความหวังใหม่กับสาธิต วงศ์หนองเตย พรรคประชาธิปัตย์
สาระสำคัญของกฎหมาย คือการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น เช่น มหาดไทย เกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์
และในเรื่องของข้อความที่ว่า ผู้บริโภคเดิมมีสิทธิ์อยู่ 4 ประการ ก็จะเพิ่มอีก
1 ประการ คือ สิทธิที่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญา
"หมายถึง เราจะมีคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ซึ่งเป็นคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง
ที่จะกำหนดให้ธุรกิจใดที่มีธรรมเนียมปฏิบัติให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร ก็จะกำหนดให้เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา"
โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหามาก ซึ่งผู้บริโภคถูกเอาเปรียบในเรื่องการทำสัญญา
แล้วในอดีตสคบ.ก็แก้ปัญหาค่อยข้างปลายเหตุมีเรื่องแล้วจึงมาแก้ไข ร้องเรียกเอาค่าชดเชยทีหลัง
ต่อไปนี้เมื่อกำหนดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญาแล้วร่างสัญญานั้นคณะกรรมการก็ต้องออกกฎหมายมา
ซึ่งอาจจะนำสัญญามาตรฐานที่เรามีอยู่ 5 ฉบับ มาปรับปรุงแก้ไข มาจัดสัมมนากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้ประกอบการ แล้วออกเป็นร่างกฤษฎีกาบังคับให้ทุกคนใช้แบบสัญญามาตรฐานที่กำหนดไว้
เพราะปัญหาสำคัญในอดีต ข้อความในสัญญาอสังหาริมทรัพย์จะเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคมาก
เช่น ในสัญญาจะซื้อจะขาย จะไม่ปรากฏหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ ตรงกันข้ามจะกำหนดหน้าที่ของผู้บริโภคว่า
เมื่อจ่ายเงินดาวน์เงินงวด เงินมัดจำไม่ตรงตามกำหนดจะถูกบอกเลิกสัญญายึดเงินมัดจำ
หรือคิดดอกเบี้ย
"แต่ในกรณีที่ผู้ดำเนินธุรกิจหรือผู้ออกสัญญา ไม่ดำเนินตามกำหนด จะไม่มีข้อความว่าผู้บริโภคสามารถบอกเลิกสัญญา
หรือผู้ประกอบการจะต้องคืนเงินดอกเบี้ยหรือต้องเสียค่าปรับ หรือจะต้องทำสาธารณูปโภคเท่าไร
จะต้องทำการก่อสร้างเมื่อไร จะแล้วเสร็จเมื่อไร ไม่มีบอก"
ฉะนั้นในร่างของพระราชบัญญัติฉบับใหม่ เมื่อมีคณะกรรมการสัญญาแล้ว จะกำหนด
จะมีข้อความสัญญาที่เป็นธรรม เป็นสัญญาสำเร็จรูปที่ทุกบริษัทใช้ และต้องประกาศเป็นกฎหมาย
เช่น สัญญามาตรฐาน ก็ต้องออกเป็นกฤษฎีกา เป็นต้น
สำหรับสัญญามาตรฐาน 5 ฉบับที่ออกมาใช้นั้น ผู้อำนวยการสคบ. กล่าวว่า ปัจจุบันเรียกว่าไม่มีประสิทธิภาพในการใช้เลย
เพราะว่าผู้ประกอบการจะใช้เฉพาะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่หลักในการร่างสัญญามาตรฐาน
จะมีพื้นฐานจากการให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
สัญญาที่ใช้ทั่วไปทุกวันนี้ โดยธรรมชาติผู้ประกอบการจะร่างมาเอง ผู้บริโภคไม่มีสิทธิ์ไปร่างหรือเปลี่ยนแปลงเท่าไร
เนื่องจากการบริโภคทรัพยากรอสังหาริมทรัพย์มีจำนวนจำกัด เพราะฉะนั้นผู้บริโภคจะถูกเอาเปรียบร้อยทั้งร้อย
แต่ต่อไปคณะกรรมการสัญญา จะร่างสัญญาที่เป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา แล้วเป็นร่างสัญญาที่บังคับใช้ตามกฎหมาย
"เมื่อกฎหมายเป็นกฤษฎีกาทุกคนก็ต้องใช้ตามนี้ แต่ต้องให้ผ่านร่างพ.ร.บ.ก่อน
แล้วตัวพ.ร.บ.ก็ไม่รู้ว่าจะถูกคัดค้านโดยผู้ประกอบการที่มีอิทธิพลหรือเปล่า
แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร"
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการสคบ.กล่าวว่า สิ่งที่สคบ.ช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นการให้ความเป็นธรรม
ไม่ได้ไปบังคับผู้ประกอบการ แต่เป็นเพราะปัจจุบันผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบมากไป
จึงต้องหามาตรการป้องกันไว้ก่อน เพื่อที่แก้ปัญหาที่สคบ.ต้องมานั่งเจรจาไกล่เกลี่ยที่ปลายเหตุเช่นที่ผ่านมา
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ที่ปรับปรุงแก้ไข ยังสอดคล้องกับสัญญาที่เป็นธรรมของกระทรวงยุติธรรม
สัญญามาตรฐานที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย สัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาจอง สัญญาว่าจ้าง
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน อาคารชุด
"มั่นใจได้ว่าสัญญาที่เกินขึ้นจะเป็นธรรมและได้ผลกว่าเก่า เพราะเกิดได้เพราะการระดมความคิดระหว่างสคบ.
ผู้ประการธุรกิจในทุกๆ ด้าน นักวิชาการ ตัวแทนผู้บริโภค รวมทั้งมีคณะกรรมการว่าด้วยกฎหมาย
คณะอนุกรรมการกฎหมายซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญต่างๆ พร้อมทั้งดูหลักของกฎหมายพ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน
ปว.286 โดยยึดถือหลักที่ให้คุณประโยชน์ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน
พ.ร.บ.อาคารชุด ซึ่งต้องนำมาศึกษาทั้งหมด" ผู้อำนวยการสคบ.กล่าว
พร้อมกันนี้หากผ่านในเรื่องของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ สคบ.ก็จะเปลี่ยนเป็นกรม
สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี แทนสำนักงานที่สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
สคบ.จะมีศักยภาพในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งอัตราคนที่จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีเจ้าหน้าที่ประจำสคบ.อยู่
43 อัตรา ลูกจ้างประจำ 18 อัตราเฉลี่ยพนักงาน 1 อัตรา ต้องรับผิดชอบถึง 3-4
หน้าที่ คือ
หนึ่ง รับเรื่องร้องทุกข์ สอง ตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ สาม ทำหน้าที่ด้านเลขานุการของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง
คณะอนุกรรมการต่างๆ หรือสี่ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือห้า ทุกคนต้องมีหน้าที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"เราไม่ยอมที่จะทำเท่าที่มี พยายามกระตุ้นให้ทำงาน ทุกวันนี้ ทุกคนจึงทำงานหนัก
ในขณะที่กองอื่นๆ อาจจะทำงานด้านเดียว ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะผมผ่านงานมาแล้ว
4-5 กอง ในทำเนียบรัฐบาล" ผู้อำนวยการสคบ.กล่าว
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า สคบ.มีผลงานเป็นที่น่าพอใจพอสมควรจากการทำงานของเจ้าหน้าที่เหล่านี้
พร้อมทั้งผลงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จก็มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งบันทึกประวัติบัญชีดำของผู้ประกอบการไว้
โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีสถิติร้องเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง
สำหรับปัญหาที่หากตั้งเป็นกรมแล้ว สคบ.จะหลุดพ้นจากการบีบจากการเมืองเมื่อเป็นกรมหรือไม่นั้น
ผู้อำนวยการสคบ.กล่าวว่า
การเมืองจะมีอยู่ในทุกกระทรวง ทบวง กรม เพราะผู้ที่บริหารหรือรัฐมนตรีที่กำหนดนโยบายมาจากการเมือง
แต่ว่าในแต่ละกรมจะมีการกำกับดูแลในรูปของคณะกรรมการ มีกฎหมายรองรับอยู่
จึงเชื่อว่าการปฏิบัติตามกฎหมาย ทำตามหน้าที่แล้ว การเมืองคงจะเข้ามาวุ่นวายไม่ได้
แล้วเมื่อกรมได้ตามเป้าหมายแล้วนั้น ในส่วนของผู้บริโภคก็จะได้รับความคุ้มครองมากขึ้น
เพราะว่าการทำงานจะทำได้เร็วขึ้น ทั้งในเรื่องของหลักการคุ้มครองผู้บริโภค
เรื่องการดำเนินคดีผลประโยชน์ก็จะคืนกลับมาที่ผู้บริโภคได้เร็ว เช่น สินค้าอสังหาริมทรัพย์
ฟ้องเสร็จเมื่อไรได้คืน ได้ก่อสร้างมากขึ้น เป็นต้น
การปฏิบัติในเชิงรุก อีกประการเพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหามาแก้ทีหลัง เช่น
ผู้ประกอบธุรกิจมีการส่งมาขอให้สคบ.ช่วยตรวจโฆษณาให้ จากอัตราที่มีค่าจ้างตรวจ
2,000 บาท สคบ.ก็ทำการตรวจให้ฟรี
"เรื่องนี้ถ้ามีมากก็ไม่ไหว ก็อยากให้ตรวจกันเองบ้าง เพราะเราเองก็ไม่อยากปรับโดยเฉพาะในเรื่องของการโฆษณา
แต่กฎหมายก็กำหนดไว้ว่าครึ่งหนึ่งเป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ก็เป็นวิธีการทำงานในส่วนของสคบ.ก็มีการปรับปรุงแบบฟอร์มไปมาก
ให้ลดขั้นตอนในบางเรื่องที่ซ้ำกันออก ไม่ต้องกรอกเยิ่นเย้อเป็นคนละความ เอาเนื้อความอย่างเดียว
แต่ยังก็ต้องมีเอกสารอยู่ก็ต้องทำกันให้ถูกต้อง
ก่อนที่สคบ.จะมีศักยภาพการทำงานภายใต้การเป็นกรมๆ หนึ่ง ทุกวันนี้สคบ.ยังอยู่สังกัดการเมืองคือ
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าย้ายออกมาเป็นกรม
"ตอนนี้แม้เราจะมีนโยบายให้บริการประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แต่ก็ยังไม่ 100% อาจจะได้สัก 60% ในเรื่องความพอใจ แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์ของปริมาณงานที่ทำได้ก็มีถึง
80% โดยสิ่งที่สคบ.เน้นคือการทำงานภายใต้ความซื่อสัตย์สุจริต แม้กฎหมายจะมีช่องให้พบเรื่องไม่ซื่อสัตย์ได้
แต่กล่าวได้ว่าสคบ.ก็ไม่เคยทำอย่างนั้นเลย" ซึ่งคงจะจริงเพราะสคบ.ไม่เคยมีข่าวในแง่นี้เหมือนหน่วยงานอื่น
อย่างไรก็ดี ประชาชนควรจะรับรู้ว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เป็นกฎหมายที่ใช้กำกับดูแล
ไม่ใช่กฎหมายควบคุม โดยงานคุ้มครองผู้บริโภคไม่มีเฉพาะสคบ.แห่งเดียว หากยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกมาก
แต่อาจจะเป็นทางอ้อม เช่น สำนักงานอาหารและยาซึ่งดูเรื่องยา เครื่องสำอาง
อาหาร กระทรวงเกษตรฯดูเรื่องมาตรฐานอาหารพืชและอาหารสัตว์ กระทรวงอุตสาหกรรมดูเรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม
กรมที่ดินดูเรื่องการจัดสรร ทุกหน่วยงานทำงานประสานกันในส่วนที่เกี่ยวข้อง
แต่ในเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ยังไม่มีใครดูแลโดยตรงก็เป็นหน้าที่ของสคบ.ตามที่กฎหมายกำหนด
รวมทั้งมาตรา 39 ที่อนุญาตให้สคบ.มีสิทธิฟ้องร้องแทนผู้บริโภคได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีศาลคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง
แต่เนื่องจากเรื่องของปัญหาคุ้มครองผู้บริโภคมีตั้งแต่เรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่
จึงมีการปรับปรุงวิ.แพ่ง คือ คดีมโนสาเร่ คือคดีที่มีการคุ้มครองทุนทรัพย์ไม่เกิน
40,000 บาท ที่ผู้บริโภคไม่ต้องใส่เสื้อครุยฟ้องร้อง เขียนบรรยายความตั้งทนาย
แต่สามารถไปฟ้องร้องปากเปล่าได้เลย เช่น ไปทานอาหารแล้วอาหารเป็นพิษ แล้วแพทย์ตรวจพิสูจน์ได้ว่ามาจากอาหารเป็นพิษ
ทำให้เราต้องเสียค่ารักษามีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหาย ถ้าไม่ยอมชดใช้จากที่ไกล่เกลี่ยแล้ว
ก็ฟ้องร้องดำเนินคดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าคดีระดับไหน หากตกลงกันได้สคบ.จะช่วยเหลือเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ก่อนทุกเรื่อง
สำหรับงานไกล่เกลี่ยหรือดำเนินการฟ้องร้องผู้ประกอบการ จะดำเนินการได้เร็วหรือช้า
ขึ้นกับผู้บริโภคว่ามีข้อมูลพร้อมแค่ไหน โดยเฉลี่ยเรื่องแต่ละเรื่องนับตั้งแต่ผู้มาร้องเรียนจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ
1 เดือน ก็จะรับทราบว่าจะเชิญมาตกลงกันได้หรือไม่
"อย่างถ้าจะดำเนินการใดๆ บางครั้งต้องขอที่อยู่ผู้ประกอบธุรกิจ เช็กทะเบียน
ใบบริคณห์สนธิ เพราะสคบ.ไม่ใช่รับเรื่องแล้วผ่านไปเท่านั้น ถ้าลูกค้ามีข้อมูลพร้อมก็เร็ว
แต่สคบ.เองก็มีปัญหาอยู่บ้างเรื่องการจัดการส่วนนี้ เพราะเครื่องมือการสืบค้นการเก็บข้อมูลเราไม่ทันสมัย
แม้แต่คอมพิวเตอร์ เราอยากได้ ของบไปก็ไม่มี เพราะทุกวันนี้รัฐมีงบให้กับสคบ.สำหรับงานประชาสัมพันธ์เผยแพร่เพียง
17 ล้านบาทในปีนี้ เพียงแค่จ่ายงบให้กับงานคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดละ 50,000
ก็มากแล้ว" ผู้อำนวยการสคบ. กล่าวถึงอุปสรรคในการดำเนินงานได้เร็ว
พร้อมทั้งกล่าวว่าหากเฉพาะเจ้าหน้าที่ของสคบ.แล้ว ถือว่ามีความพร้อมและประสิทธิภาพในการทำงานสูง
แต่ถ้าขาดการสนับสนุนเป็นเวลานาน และขาดเครื่องไม้เครื่องมือที่เอื้ออำนวยในการทำงานเช่นนี้นานๆ
เจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพก็คงตัดสินใจที่จะย้ายไปหางานที่ก้าวหน้ากว่าที่สคบ.เป็นแน่แท้
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากสคบ.สามารถผ่านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ได้ตามเป้าหมาย
งานคุ้มครองผู้บริโภคคงจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ และดำเนินการได้รวดเร็วขึ้นในกรณีที่มีปัญหาได้ดีขึ้นตามหวังหรือไม่
เพราะอย่างน้อยข้อจำกัดเรื่องอำนาจหน้าที่ก็คงมีมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ที่สำคัญหากจะให้ได้ผลอย่างแท้จริง ก็คือ การที่ผู้บริโภคควรจะตระหนักถึงสิทธิของตัวเองอยู่เสมอนั่นเอง