ดีแทคหวังยกเลิกการผูกขาดตลาดมือถือ ทุ่ม 1.2 หมื่นล.ขยายเครือข่ายบี้เอไอเอส


ผู้จัดการรายวัน(27 ธันวาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ดีแทคตั้งเป้าขยายเครือข่ายเบียดเอไอเอส หวังปลดแอกบริการที่บางพื้นที่ไม่มีโอกาสและทางเลือก อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้และภาคกลาง

นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทคกล่าวถึงเป้าหมายของดีแทคในปีหน้าว่า จะเข้าสู่ยุคการยกเลิกการผูกขาดตลาดมือถือ (To End the Monopoly Era) โดยดีแทคมองว่าปัจจุบันตลาดในประเทศไทยยังไม่มีการแข่งขันสมบูรณ์แบบในบางพื้นที่ อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีประชากรมือถือ 26% ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 13% ภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่างมี 30% ภาคใต้ตอนบนมี 50% และภาคใต้ตอนล่างมี 29% เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีแต่เครือข่ายของเอไอเอส ซึ่งเหมือนกับเป็นการผูกขาดการให้บริการ โดยที่ประชาชนไม่มีโอกาสและทางเลือก

ในปีหน้าดีแทคจะใช้เงินประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ในการขยายเครือข่าย 1,500 สถานีฐาน เพื่อให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้และกรุงเทพฯ รวมภาคกลาง มีเครือข่ายครอบคลุมเท่ากับเอไอเอส ส่วนภาคเหนือจะขยายหลังจากนั้นอีก 1 ปี โดยที่มุมมองของดีแทคดังกล่าว ทำให้ดีแทคคาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะมียอดผู้ใช้บริการใหม่รวม 15 ล้านราย หรือเฉลี่ยโตปีละ 5 ล้าน ในขณะที่เอไอเอสหรือทีเอออเร้นจ์มองที่ 2-3 ล้านเท่านั้น เพราะดีแทคเชื่อว่าหากเครือข่ายครอบคลุมเท่ากับเอไอเอสแล้ว จะทำให้เกิดการแข่งขันที่กระตุ้นตลาดให้เติบโตมากขึ้น โดยที่ดีแทคคาดว่าภาคเหนือจะมีศักยภาพของตลาดในอีก 3 ปี รวม 3.5 ล้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 ล้าน กรุงเทพฯ และภาคกลาง 1 ล้าน และภาคใต้ 2.5 ล้าน

“ปัจจุบันประชากรมือถือประมาณ 45% และอีก 3 ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 70% โดยคนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจะมีการใช้โทรศัพท์มือถือ”

ตัวเลข 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นการขยายเครือข่ายรวมทั้งการขยายการให้บริการ EDGE ใน 16 จังหวัดโดยยังไม่รวม 3G หากมีการเปิดให้ไลเซนส์ โดย EDGE ในปัจจุบันสามารถตอบสนองความต้องการใช้การสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงได้ดีอยู่แล้วในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง 3G ที่ยังไม่มีไลเซนส์รวมทั้งเรื่องคอนเทนต์และแอปพลิเคชั่นต่างๆ ในขณะที่ดีแทคเองก็พร้อมที่จะลงทุน 3G ด้วยความเข้มแข็งจากฐานเงินทุน ประสบการณ์ตลาด และการให้บริการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงจากเทเลนอร์

นายซิคเว่กล่าวว่า ในปัจจุบันยอดของการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ 45 % ถือว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำมาก หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากตลาดยังไม่ได้มีการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว ทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นในด้านราคา คุณภาพของเครือข่ายและรวมไปถึงเรื่องการให้บริการด้วย

จากสถิติพบว่า ในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงและมีสัญญาณครอบคลุมของผู้ให้บริการจากทั้งสามค่ายนั้น มักจะมียอดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง เกือบ 100% อย่างในกรุงเทพและภาคกลางมีประชากรมือถือถึง 83% ในขณะที่ในพื้นที่ที่มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียวจะมียอดการใช้โทรศัพท์มือถือเพียง 30% เท่านั้น

จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้ดีแทคตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนผลักดันให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีเต็มรูปแบบในทุกพื้นที่ และเชื่อมั่นว่าดีแทคสามารถเป็นทางเลือกที่ทัดเทียมกับคู่แข่งในทุกพื้นที่การบริการ

นายสันติ เมธาวิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคกล่าวว่า ดีแทคจะใช้เงินประมาณ 1,450 ล้านบาท ในการให้บริการแบ่งเป็นลงทุนปฏิรูประบบ CRM ใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง 1 พันล้านบาท ขยายศูนย์บริการเพิ่มอีก 100 แห่งจากปัจจุบันที่มี 22 แห่งอีก 150 ล้านบาท และการเพิ่มพนักงานคอลเซ็นเตอร์ 2 พันคน อีก 300 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายของโพสต์เพดต้องการรักษาการเพิ่มของลูกค้าใหม่เดือนละ 1 หมื่นราย และทำให้ผู้บริโภคคิดถึงดีแทคหากคิดจะใช้บริการโพสต์เพดรวมทั้งแพกเกจด้านราคาใหม่ๆเพื่อสร้างความคุ้มค่าให้ลูกค้า

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคกล่าวว่า ในระบบพรีเพดจะยึดแนวทางการทำตลาดสไตล์แฮปปี้ โดยจะเริ่มเปิดแคมเปญใหม่ตั้งแต่กลางเดือนม.ค.49 โดยที่ผ่านมารายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายพรีเพดของดีแทคถือว่าเป็นอันดับ 1 ในตลาดรวมทั้งรายได้จากบริการเสริมก็สูงถึง 11% ของรายได้รวม

สำหรับการทำ Tender Offer หุ้นดีแทคในตลาดสิงคโปร์สรุปว่าเทเลนอร์เอเซียซื้อหุ้นจำนวน 14 ล้านหุ้น หรือ 2.96% และบริษัท ไทย เทเลคอม โฮลดิ้งซื้อหุ้นจำนวน 2.4 ล้านหุ้น หรือ 0.5% รวมแล้วเทเลนอร์ถือหุ้นตรงในดีแทคทั้งสิ้น 32.5% นายซิคเว่กล่าวว่าการที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยในสิงคโปร์ขายหุ้นไม่มากนักเป็นเพราะเห็นแนวโน้มดีแทคที่ดี ส่วนประเด็นการนำดีแทคเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น มี 3 ทางเลือกโดย1.เก็บยูคอมไว้ในตลาด และเจรจาเพื่อหาทางให้ดีแทคเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเช่นกัน 2.เอายูคอมออกจากตลาดและเอาดีแทคเข้าจดทะเบียนเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและ 3.นำดีแทคเข้าจดทะเบียนทางอ้อมผ่านยูคอม ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกปี 2549

“แปลกมากที่ดีแทคอยู่ในตลาดต่างประเทศ เราอยากนำดีแทคกลับบ้านเกิดซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัทและเราได้ประโยชน์ทางภาษี”


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.