3เคเขี่ย"ยีเอส"ตกแท่นแชมป์ เล็งปรับราคาอ้างวัตถุดิบพุ่ง


ผู้จัดการรายวัน(22 ธันวาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

แบตเตอรี่ 3 เค ประกาศขึ้นอันดับหนึ่ง ด้วยยอด ขายกว่า 2,500 ล้านบาท ปีหน้าเตรียมลงทุนกว่า 200 ล้านบาผลิต สเตชันเนอรี แบตเตอรี่ สำหรับระบบไฟฉุกเฉินอาคารขนาดใหญ่ คาดปีหน้ายอดขายโต 10% ประสบปัญหาต้นทุนตะกั่วสูง หากยังเป็นอย่างนี้ต้นปีเตรียมปรับราคาขายขึ้น

นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ 3 เค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ 3 เค เปิดเผยว่า ในปีนี้ยอดขายของ บริษัทฯโดยเฉพาะตลาดขายปลีกนั้นสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดได้ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33% แทนเจ้าตลาดเดิมคือยีเอส แบตเตอรี่ ที่มีส่วนแบ่งเหลือเพียง 32% และ ทิ้งอันดับ 3 ของตลาดคือ เอฟบี แบตเตอรี่ที่มีส่วนแบ่งตลาด 15%

"เราเคยพูดไว้ว่าจะขอขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดแบตเตอรี่ให้ได้ภายใน 3 ปี ซึ่งถึงปีนี้นับเป็นปีที่ 3 พอดี และเราก็ทำสำเร็จตามเป้าหมาย ที่วางไว้ โดยในขณะนั้นแบตเตอรี่ 3 เค มียอดขายเพียงครึ่ง เดียวของเจ้าตลาดอย่างยีเอส การที่มีสินค้าหลายระดับครบทุกเซกเมนต์ให้ลูกค้าได้เลือก การมีทีมงานที่ดี รวมถึงการที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ดีโดยมีชอปของ 3 เคกระจายอยู่ทั่วประเทศซึ่งภายในครึ่ง ปีหน้านี้จะมีครบ 100 แห่งเป็นส่วนที่ทำให้เราสำเร็จ"

สำหรับยอดขายของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นภายในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% โดยตลาดส่งออกนั้นไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯ จะเน้นรุกการส่งออกไปที่ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะเป็นประเทศที่เพิ่งจะเข้าไปเปิด ตลาดใหม่

ส่วนแนวโน้มตลาดแบตเตอรี่ในปีหน้า เมื่อดูจากค่าจีดีพีที่คาดการณ์กันว่าจะโตประมาณ 4% นั้น ตลาดแบตเตอรี่เองน่าจะมีอัตราการ เติบโตที่สูงขึ้นประมาณ 10% ทั้งในประเทศและการส่งออก โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดขายของแบตเตอรี่ 3 เค ก็น่าจะเติบโตขึ้นจากปีนี้ประมาณ 10% เป็นอย่างต่ำ และจะมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ส่วนของแบตเตอรี่รถโฟล์คลิฟท์ เพราะในปัจจุบันตลาดรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า โตมากขึ้น เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงคาดว่าตลาดแบตเตอรี่รถโฟล์คลิฟท์ น่าจะมีแนวโน้มที่ดีใน ปีหน้า

ในส่วนของแผนการลงทุนในปีหน้าจะลงทุนซื้อเครื่องจักรสำหรับ ผลิตสเตชันเนอรี่ แบตเตอรี (Stationery Battery) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ ไฟฟ้าสำรองสำหรับอาคารที่จำเป็นต้องใช้กระแสไฟตลอดเวลาในกรณีฉุกเฉิน โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท
สำหรับปัญหาที่บริษัทฯประสบ อยู่ในขณะนี้คือเรื่องของ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบ ตะกั่วนั้น ในขณะนี้มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นกว่า 10% ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทก็ยังแบกภาระตรงนี้อยู่โดยยังไม่ได้มีการปรับราคาแต่อย่างไร และอยู่ระหว่างรอดูว่าราคาตะกั่วจะตกลงบ้างมาหรือไม่ แต่หากยังยืนราคานี้อยู่ในช่วงต้นปีหน้าคงจะมีการปรับราคาจำหน่าย เพิ่มขึ้นซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 5-6% เท่านั้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.