|

นักลงทุนจองหุ้นSTEELผิดหวัง เทรดวันแรกรูดต่ำจองเกือบ12%
ผู้จัดการรายวัน(21 ธันวาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
STEEL เทรดวันแรกปรัดลดลงต่ำกว่าจอง 34 สตางค์ แม้ช่วงเช้าเปิดตลาดมาสดใสที่ 3.40 บาท "ประสิทธิ์" เผยปีหน้าอัตราการเติบโตอยู่ในระดับ 40-50% พร้อมปรับสัดส่วนรายได้จากผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ เป็นฝ่ายละ 50% เพื่อดันให้มาร์จิ้นเพิ่มอีก 5% เตรียมผลิตสินค้าใหม่แปเหล็กกล้า กำลังสูงที่มีมาร์จิ้นถึง 20%
วานนี้ (20 ธันวาคม) หุ้นของ STEEL ของบริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) เปิดตลาดมาค่อนข้างสดใส โดยเปิดที่ 3.40 บาท ปรับขึ้นไปสูงสุดระหว่างวันที่ราคา 3.84 บาท ก่อนจะค่อย ๆ ปรับลดลงต่ำสุดไปอยู่ที่ 2.50 บาทและปิดตลาดที่ 2.56 บาท มูลค่าซื้อขาย 207.79 ล้านบาท หรือลดลง 34 สตางค์ คิดเป็น 11.72% โดยราคาจองอยู่ที่ 2.90 บาท
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ STEEL เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจที่ราคาหุ้นไอพีโอ สามาารถยืนเหนือราคาจองที่ 2.90 บาท ได้ และเชื่อว่าการที่นักลงทุนให้การตอบรับหุ้น STEEL นั้นเป็นเพราะนักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพของ บริษัทฯ ซึ่งจากผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบันพบว่ายังมีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% เทียบกับปี 2547ที่บริษัทฯ มีรายได้ 223.95 ล้านบาท ขณะที่ผลการ ดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ของ STEELพบว่า บริษัทมีรายได้รวม 261.44 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 47 ที่มีรายได้รวม 147.49 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 77.26% ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกปีนี้เท่ากับ 15.02 ล้านบาท เทียบกับงวด 9 เดือนปี 47 ที่มีกำไรสุทธิ 12.95 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 16% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงิน ปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับประมาณ การรายได้จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 30-40% ทั้งนี้เป็นเพราะรายได้ของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 70%
นอกจากนี้บริษัทฯ คาดว่าในปีหน้ารายได้จะเติบโตประมาณ 40-50% จากการออกตัวสินค้าใหม่คือ แปเหล็ก กล้ากำลังสูง ที่ต่างประเทศมีการใช้กันมากแทนการใช้หลังคากระเบื้องใยหินผสมซีเมนต์ เพราะทนทาน น้ำหนักเบาและมาร์จิ้นดีคืออยู่ที่ประมาณ 20% โดยคาดว่าบริษัทจะเริ่มผลิตสินค้า ตัวใหม่นี้ได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 49 เพราะหลังจากได้เงินจากการระดมทุน ครั้งนี้ จะนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ที่จะผลิตสินค้าดังกล่าว
"เรามีงานที่ได้แล้วคือโครงการอิมแพค ชาเลนเจอร์ ซึ่งจะเป็น HALL สำหรับการจัดแสดงสินค้าต่างๆ มีพื้นที่ ถึง 1 แสนตารางเมตร และเราคาดว่า เราจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จากการผลิตสินค้าตัวใหม่ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย แปลกใหม่และรองรับความต้อง การของลูกค้า ซึ่งลูกค้าของเราส่วนใหญ่คือผู้รับเหมาปีนี้ 9 เดือนพบ ว่าเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว" นายประสิทธิ์กล่าว
โดยหลังจากที่บริษัทฯ ได้ผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว จะหันไปปรับสัดส่วนการขายตรงและจัดสินค้า ขายรวมกันเป็นแพกเกจมากขึ้น ปัจจุบัน STEEL มีสัดส่วนรายได้จาก ฐานลูกค้าที่สำคัญของบริษัทคือลูกค้า รายย่อยประเภทโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ซึ่งแบ่งสัดส่วนรายได้เป็นผู้รับเหมา 40% และเจ้าของโครงการ 60% โดยในอนาคตสัดส่วนรายได้จะปรับเป็นอย่างละ 50%
ปัจจุบัน มาร์จิ้นในการจำหน่ายสินค้าที่เป็นผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 18-20% หลังปรับสัดส่วนการจำหน่ายให้กับลูกค้าโดยจะเพิ่มเจ้าของโครงการ จะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นรวมของบริษัทเพิ่มอีก 5%
นายประสิทธิ์กล่าวเพิ่มอีกว่าแผนงานป•หน้านอกจากการปรับสัดส่วนการจำหน่ายแล้ว บริษัทยัง จะเพิ่มการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยเน้นไปในประเทศเพื่อนบ้านก่อนเป็นการชิมลางตลาด ก่อนจะขยายให้ครอบ คลุมทั่วเอเชีย
ปัจจุบัน STEEL มีกำลังการผลิตแผ่นหลังคาเหล็กเคลือบขึ้นลอนรวม 2,412,000 ตารางเมตร หรือ 10,000 ตันต่อปี โดยในปี 2547 และงวด 9 เดือนแรกปี 2548 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตร้อยละ 29.98 และร้อยละ 32.29 ตามลำดับ โดยในงวด 9 เดือนแรกปี 2548 บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าผ่านตัวกลางซึ่งถือเป็น ลูกค้าทางตรงของบริษัท 3 กลุ่มหลัก โดยมีสัดส่วนดังนี้ ผู้รับเหมา 42.51% ผ่านตัวแทนจำหน่าย 21.53% และขายให้แก่เจ้าของโครงการโดยตรง 35.96%
ณ 31 ตุลาคม 2548 บริษัทมีงานระหว่างส่งมอบซึ่งได้รับใบสั่งซื้อจากลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 143 โครงการ คาดว่าจะส่งมอบงานได้ประมาณ 128 โครงการภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มูลค่ารับรู้รายได้โดยประมาณ 44.35 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 15 โครงการ คาดจะส่งมอบในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 มูลค่ารับรู้รายได้โดยประมาณ 7.83 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|