BOOZ ALLEN & HAMILTON อีกแล้ว ทีมที่ปรึกษาปรับโครงสร้างของบรรษัทฯ


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อเอ่ยถึงทีมที่ปรึกษา BOOZ ALLEN & HAMILTON ภาพของ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย บงล.ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน) บมจ.การบินไทย ล้วนผ่านเข้ามาในความคิด ปัจจุบันองค์กรขนาดใหญ่มีความจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้สูงขึ้น โดยการพยายามลดต้นทุนและพัฒนาบุคลากรเพื่อให้ทำงานอย่างคุ้มค่าที่สุด โดยมีเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วย คนหนึ่งคนสามารถทำงานได้มากขึ้น องค์กรขนาดใหญ่ไม่จำเป็นต้องขยายกำลังคนให้มากมาย แต่ใช้วิธีเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปแทนที่ ซึ่งจะประหยัดต้นทุนในระยะยาวลงได้จำนวนมาก

สำหรับ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ IFCT นั้นก็ไม่น้อยหน้าใคร โดยในปีนี้ บรรษัทฯ ได้ร่วมกับทีมที่ปรึกษา BOOZ ALLEN & HAMILTON ศึกษาโครงสร้างและระบบงานขององค์กร เพื่อปรับกระบวนการทำงานใหม่ (Redesign)

อัศวิน คงสิริ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปของบรรษัทฯ เปิดเผยว่า "ขณะนี้อยู่ในช่วงของการออกแบบขั้นละเอียด ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่ คาดว่าจะต้องลงทุนอย่างมาก แต่บรรษัทฯ จะพยายามใช้ระบบสารสนเทศที่มีอยู่แล้ว จะไม่เขียนโปรแกรมเองเพราะจะเสียเวลา"

เป้าหมายสำคัญในการทุ่มทุนจ้างทีมที่ปรึกษา BOOZ ALEN นี้ก็คือ ต้องการให้องค์กรที่ต้นทุนในการนำเงินจากแหล่งเงินมาให้กู้ให้ต่ำที่สุด โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เนื่องจากบรรษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่ออุตสาหกรรมมีขนาดเล็กและกลางจำนวนมาก หากมีต้นทุนการเงินที่ต่ำก็จะสามารถสนับสนุนนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมด้วยการปล่อยสินเชื่อระยะยาวได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำด้วย

ทั้งนี้ แผนการปรับกระบวนการทำงานใหม่นั้น เป็นแผน 5 ปี โดยจะเริ่มระยะทดลองในปี 2540 และดำเนินการตามแผนจริงตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นไป ดังนั้น ผลที่ออกมาจะเร็วหรือช้าจึงสำคัญที่ระยะทดลองว่ากินเวลามากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม อัศวินย้ำว่า "แผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะไม่มีการปลดพนักงานออกอย่างแน่นอน" เพียงแต่มีนัยสำคัญที่ว่า ต่อไปบรรษัทฯ จะใช้คนอย่างเต็มประสิทธิภาพ และการเพิ่มกำลังคนในอนาคตจะเป็นไปอย่างรอบคอบมากขึ้น

ปัจจุบัน ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่ง ได้ใช้วิธีวัดประสิทธิภาพพนักงาน โดยเทียบผลการทำงานต่อค่าตอบแทนมากขึ้น ทำให้พนักงานระดับอาวุโส ซึ่งค่าจ้างเงินเดือนสูงขึ้นตามอายุงาน แต่ทำงานในตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์มาก ๆ หรือตำแหน่งที่ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ เริ่มเกิดความไม่มั่นคงในอาชีพมากขึ้น

"EARLY RETIRE" หรือการปลดเกษียณก่อนอายุ 60 ปีได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความพยายามลดต้นทุนการดำเนินงานให้มากที่สุดขององค์กรขนาดใหญ่นั่นเอง

แม้ในวันนี้ บรรษัทฯ ยังไม่มีมาตรการลดต้นทุนแบบเข้มดังกล่าว แต่ในวันข้างหน้าจะมีหรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา

ในส่วนของการลดต้นทุนในกระบวนการทำงานนั้น อัศวิน กล่าวว่า "ต่อไปขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อ เราจะต้องทำให้มีต้นทุนต่ำที่สุด เนื่องจาก บรรษัทฯ มีการให้สินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมและกลางมาก"

สิ่งสำคัญที่จะทำให้บรรษัทฯ สามารถหาแหล่งเงินที่ต้นทุนต่ำได้ ก็คือ การพยายามรักษาระดับเครดิตเรตติ้งให้ดีที่สุด ให้ได้ในระดับเดียวกับประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ S&P ให้เรตติ้ง A ส่วน MOODY ให้ A2

อัศวิน เชื่อว่า ภายใน 5 ปี บรรษัทฯ จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าตามที่ พ.ร.บ. บรรษัทฯ อนุญาตได้เป็น 10% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 6%

แผนการดำเนินงานปี 2540 อัศวินตั้งเป้าว่าจะให้สินเชื่อและร่วมทุนทั้งสิ้น 57,300 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าปี 2539 ประมาณ 19% โดยคาดว่าอัตราการเพิ่มของสินเชื่อจะขยายตัวประมาณ 28% อัตราการเพิ่มของสินทรัพย์ประมาณ 25% และจะรักษาระดับการเพิ่มของกำไรสุทธิไว้ให้ได้ประมาณ 20%

ทั้งนี้ บรรษัทฯ มีแผนระดมเงินในปี 2540 ประมาณ 33,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนเงินบาท 55% และเงินต่างประเทศ 45% ซึ่งการระดมเงินต่างประเทศนี้จะยังเน้นการออกตราสารอัตราดอกเบี้ยลอยตัวภายใต้โปรแกรม Global Medium Term Note และจะพยายามเลือกออกตราสารในสกุลเงินและตลาดที่บรรษัทฯ ได้เปรียบที่สุด หลังจากนั้น ก็อาจจะนำมาทำ Currency Swap เป็นเงินเหรียญสหรัฐหรือเงินบาทต่อไป

ในส่วนของเงินกู้ลักษณะผ่อนปรนจะพยายามหาแหล่งเงินให้เพิ่มเติม เพื่อนำเงินที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนมาให้แก่โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ เช่น โครงการส่งเสริมการส่งออก โครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ศิริชัย สาครรัตนกุล รองผู้จัดการทั่วไปของบรรษัทฯ กล่าวเสริมว่า การที่บรรษัทฯ ยังจำเป็นต้องกู้เงินต่างประเทศในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงอยู่นี้ เนื่องจากเงินออมในประเทศไทยมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับเงินกู้ระยะยาว ซึ่งต่อไป บรรษัทฯ จะพยายามกู้ในระยะยาวให้มากขึ้น เช่น 15 ปี 20 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปล่อยสินเชื่อระยะยาวของบรรษัทฯ ด้วย ทั้งนี้ ตลาด YANKEE BOND จะสามารถให้กู้ระยะยาวได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม บรรษัทฯ จะพยายามกู้ในประเทศให้มากเช่นกัน

อัศวิน กล่าวย้ำว่า "ไม่มีทางที่ไทยจะลดดุลบัญชีเดินสะพัดให้เป็นศูนย์ได้ภายใน 10 ปีนี้ เพราะเรายังต้องพึ่งเงินออมจากต่างประเทศอีกนาน"

ความเพียรพยายามในการกู้เงินให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดนั้น เป็นสิ่งที่สถาบันการเงินทุกแห่งทำกันมาโดยตลอด รวมถึงการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน อย่างไรก็ดี หลังจากนี้อีก 5 ปี บรรษัทฯ และทีม BOOZ ALLEN คงจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการจัดโครงสร้างและระบบการทำงานในองค์กรใหม่นั้น จะมีผลต่อการแข่งขันและความอยู่รอดขององค์กรมากน้อยเพียงใด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.