ชีวิตเธอพลิกผันจากการเป็นพนักงานแบงก์ก้าวสู่การเป็นเจ้าของกิจการ ด้วยวัยกำลังพอเหมาะในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
ประกอบกับแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างผลักดันให้เธอสู้อย่างเต็มที่กับงานใหม่ที่ท้าทายเธออยู่
ชื่อเธออาจจะไม่คุ้นนักถ้าเทียบกับนามสกุล "วิไลลักษณ์" ซึ่งถ้าใครได้ยินก็ต้องนึกถึง
SAMART ทันที แน่นอนเธอมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลวิไลลักษณ์อย่างแน่นแฟ้น
เพราะเธอคือศรีภรรยาของ ธวัชชัย วิไลลักษณ์ ทายาทธุรกิจเทเลคอมมูลค่าพันล้านนั่นเอง
ใครจะรู้บ้างว่าสาวน้อยหน้าใสวัยยี่สิบปลายๆ นี้จะสวมบทบาทคุณแม่ของลูกชายวัย
7 เดือน "น้องโฟน" ที่เกิดมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานของคุณแม่
จากพนักงานแบงก์กลายมาเป็นเจ้าของกิจการเครื่องหนังนำเข้าชื่อดังจากประเทศเยอรมนี
คุณแม่ยังสาวเล่าว่า หลังจากที่เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
สาขาบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้าทำงานในฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยาประมาณ
2 ปี แล้วศึกษาต่อปริญญาโท สาขาการเงินที่ศศินทร์ (จีบ้า) เป็นเวลา 2 ปี
จากนั้นก็กลับมาทำงานต่อที่เดิมได้ประมาณ 2 ปีก็ลาออก เนื่องจากตั้งครรภ์พอดี
"ตอนที่อยู่แบงก์ก็เริ่มทำงานด้านสินเชื่อธุรกิจรายย่อย หลังจากจบปริญญาโทก็รับผิดชอบงานด้าน
PROJECT FINANCE ซึ่งตอนนั้นจบโทมาใหม่ๆ ก็มีความรู้สึกว่าอยากทำงานด้านวาณิชธนกิจ
แต่เนื่องจากโครงสร้างองค์กรไม่อำนวยและประกอบกับคลอดน้องโฟนพอดีจึงตัดสินใจลาออกจากแบงก์
เพื่อจะได้ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่" เธอเล่า และจังหวะนั้นเอง หลังจากที่เธอคลอดน้องโฟนได้ประมาณ
4-5 เดือน ธวัชชัยก็ได้ปรึกษาภรรยาสาวถึงธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็น แฟรนไชส์จำหน่ายเครื่องหนังภายใต้ยี่ห้อ
MCM (MICHAEL CROMER MUNICH) จากเยอรมนี เธอก็สนใจเพราะเธอเองก็รู้จักเครื่องหนังยี่ห้อนี้มานาน
ประกอบกับตัวแทน แฟรนไชส์ ที่สิงคโปร์ผู้ดูแล MCM ในภูมิภาคนี้ก็รู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับสามีเธอ
และการติดต่อธุรกิจในครั้งนี้ ทาง MCM สิงคโปร์ก็ได้ให้ความไว้ใจที่จะให้เธอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย
ในขณะที่มีผู้ที่สนใจขอเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้หลายรายแต่ก็ไม่ผ่านการพิจารณา
"MCM จะพิจารณาหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประวัติความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
ความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและเครดิตความน่าเชื่อถือของเรา ซึ่งเขาก็เห็นว่าเราค่อนข้างจะเหมาะสม
เขาก็ชักชวนให้เราเข้าไปทำ เราก็ตัดสินใจทำเลย" อรพรรณเล่า ช่วงเวลาที่เธอใช้ในการตัดสินใจค่อนข้างรวดเร็ว
แต่เธอก็มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี เนื่องจากมีกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้าง
โดยเฉพาะสามี
"คุณธวัชชัยเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก เนื่องจากผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจมาตั้งแต่เริ่มจากขนาดกลางไปจนใหญ่
เรื่องการตลาด การจัดระบบภายใน เขาก็จะมีส่วนช่วยและที่สำคัญคือเป็นกำลังใจให้เราตลอดเวลา"
จากปัจจัยทางด้านความพร้อมที่เธอมีอยู่เต็มเปี่ยมในทุกด้าน การเป็นเจ้าของกิจการ
ณ วันนี้ของเธอจึงเรียกได้ว่าไม่เร็วและไม่ช้าเกินไปกับความฝันของเธอที่ฝันไว้ว่า
"สักวันหนึ่งจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง" อาจจะเป็นเพราะว่าเธอถูกแวดล้อมไปด้วยนักธุรกิจไม่ว่าจะครอบครัวของตัวเองหรือครอบครัวของสามีจึงเป็นส่วนผลักดันให้เธอถึงฝั่งฝันได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของสาวเก่งคนนี้ เธอให้ความสำคัญกับ "ความซื่อสัตย์และการบริการที่ดี"
ที่มีต่อลูกค้า
"สินค้าที่เราเสนอต่อลูกค้าต้องดีจริง ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นเราจะต้องเช็กโดยละเอียดมีรอยสักนิดก็จะไม่ขายเลย
ส่วนในเรื่องของการให้บริการ จะกำชับพนักงานขายทุกคนเสมอว่า แม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้เข้ามาซื้อของของเรา
แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาในร้านของเราแล้วเขาจะต้องประทับใจกลับไป"
9 เม.ย. ที่ผ่านมาเป็นวันแรกของการเปิดร้าน MCM ณ ชั้น 2 SIAM DISCOVERY
CENTER ซึ่งเธอก็วุ่นวายกับการจัดสินค้าหน้าร้านทั้งวันทั้งคืน และเธอได้สารภาพว่า
ตอนแรกเธอรู้สึกกลัวมากกับการทำธุรกิจนี้ เพราะเธอไม่แน่ใจว่า คนไทยจะรู้จักผลิตภัณฑ์ของ
MCM แค่ไหน และผลตอบรับจากลูกค้าจะเป็นอย่างไร แต่พอเปิดร้านวันแรกก็มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาชมสินค้าของเธอซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักผลิตภัณฑ์นี้
เพราะสินค้าตัวนี้มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางหรือกระเป๋าถือ
เธอได้ยกตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ก็ได้แก่ เลดี้ไดอาน่า
มาดอนนา และไมเคิล แจ็คสัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสาวสวยอย่างซินดี้ ครอว์ฟอร์ดมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้อีกด้วย
"แรกๆ รู้สึกกลัวมากเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอมาดูแล้วสินค้าเราค่อนข้างใช้ได้
ราคาก็อยู่ในกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไปประกอบกับทำเลแห่งแรกของเราที่นี่ก็ดีมาก
จะมีคนเดินเข้าร้านตลอดและวันนี้เปิดวันแรกเรายังขายได้ กำลังใจก็เพิ่มขึ้นอีกมาก"
เธอเล่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่เธอตั้งไว้สำหรับปีแรกของการเริ่มต้น
เธอคาดหวังว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 25 ล้านบาท
และวันที่ 25 เม.ย. นี้จะมีงาน SOFT OPENING ที่โชว์รูมชั้น 2 SIAM DISCOVERY
CENTER และจากนั้นประมาณเดือนมิถุนายนจะเป็นงาน GRAND OPENING ที่จะจัดขึ้นที่โรงแรมสุโขทัย
ซึ่งงานนี้เธอรับรองว่าจะมีความแปลกใหม่ในเรื่องของการเปิดตัวสินค้า จากเดิมที่ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในห้องของโรงแรม
แต่งานนี้เธอวาดแผนไว้ว่าจะจัดเป็นงานกลางแจ้งมีการเดินแฟชั่นท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้
ชีวิตการทำงานของเธอเปลี่ยนไปนับจากหันหลังให้กับงานแบงก์และมุ่งสู่การเป็นเจ้าของกิจการ
เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีของเธอเลยก็ว่าได้ ที่เธอไม่ได้กลายเป็นวาณิชธนากรอย่างที่เธออยากจะทำหลังจากเรียบจบปริญญาโท
เพราะวันนี้เธออาจจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัวมากเท่าที่เป็นอยู่
"ช่วงนี้อยู่ในระยะเริ่มต้นของธุรกิจ ต่อไปเมื่อลงตัวก็จะมีเวลาให้กับลูกและสามีมากขึ้น
เราไม่อยากจะให้เวลา 100% กับงานหรือแค่ 20% กับงาน อยากให้เป็น 50 : 50
ระหว่างงานกับครอบครัว แต่อาจมีบางช่วงที่ต้องให้เวลากับการทำงานมากกว่า
ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีเวลาอยู่กับลูกก็ใช้เวลาตรงนั้นให้มีค่ามากที่สุด
คือให้เป็นความทรงจำที่ดีให้ลูกมีความสุข ซึ่งถ้าเราอยู่กับลูกทั้งวันทั้งคืนแต่ลูกไม่รู้สึกดีก็ไม่มีประโยชน์
และที่สำคัญต้องให้เวลากับสามีด้วย เพราะเขาก็งานยุ่ง ถ้าเรามัวแต่ทำงานต่างคนต่างก็ไม่เจอหน้ากันพอดี"
นี่คือเวลาที่เธอวางไว้
สำหรับความรู้สึกที่เธอมีต่อสามีที่แสนดีนั้น เธอเปิดเผยว่า "เขาเป็นสามีที่ดีมาก
แม้ว่างานเขาจะเยอะ แต่เขาก็พยายามที่จะจัดเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งอาจจะไม่มากนัก
แต่หากเราไม่ DEMAND มาก ตรงจุดนั้นเราก็รับได้แน่นอน การเป็นสามีภรรยากันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ความเข้าใจซึ่งกันและกัน แน่นอนต้องอยู่บนพื้นฐานของความรัก และที่สำคัญต้องให้อภัยกันและกัน
ถ้ามีทั้ง 3 สิ่งนี้ ครอบครัวก็ HAPPY แล้ว"
ณ วันนี้ชีวิตของคุณแม่รูปหนึ่ง ซึ่งเธอบอกว่าจริงๆ แล้ว ลูกสองคนแล้ว
เพราะเธอให้ MCM เป็นลูกคนที่ 2 ที่ต้องดูแลเช่นเดียวกัน ได้เริ่มต้นก้าวเดินบนถนนสายธุรกิจอย่างเต็มภาคภูมิท่ามกลางกำลังใจจากคนรอบข้าง
และที่สำคัญเธอมีความรักและความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมมอบให้กับงานนี้