แบงก์ชาติฟันธงศก.ปีหน้าโตกว่า 5% ชี้เงินเฟ้อขาดดุลบัญชีการเมืองจุดอ่อน


ผู้จัดการรายวัน(16 ธันวาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ" ฟันธง เศรษฐกิจไทยปี 49 ขยายตัวอย่างน้อย 5% เหตุไม่มีปัจจัยลบ โดยมีตัวแปรสำคัญอยู่ที่สถานการณ์ทางการเมือง พร้อมยอมรับอัตราเงินเฟ้อและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นจุดอ่อน เผยเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าเงินเฟ้อ มั่นใจทำได้แน่ภายในปีหน้า ช่วยจูงใจคนหันมาออม

วานนี้(15 ธ.ค.48) ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2549Žในการสัมมนาเรื่อง "ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2549 : จับกระแสตลาดเงิน ตลาดทุน และพลังงาน" ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจัดขึ้นที่ห้องประชุมธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนักธุรกิจ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังกว่า 500 คน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล กล่าวว่า ในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2548 แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากได้รับผลกระทบ หลายด้าน ทั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ภัยแล้ง และการส่งออกที่ชะลอตัว รวมทั้งผลกระทบจากสึนามิ และความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีขึ้นตามลำดับ และเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 น่าจะมีการขยายตัวเกินกว่าร้อยละ 5 อย่างแน่นอน

ส่วนในปี 2549 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย น่าจะมีการขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 5 เนื่องจาก ปัจจัยต่างๆ ที่เคยส่งผลลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ภัยแล้งหรือการส่งออก เริ่มกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีแล้ว ดังนั้น หากปัจจัยทางด้านการเมืองซึ่งเป็น ปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดี ก็น่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ไทยในปี 2549 อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีจุดอ่อนอยู่อีก 2 เรื่อง คือ อัตราเงินเฟ้อ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยในส่วนของเงินเฟ้อ นั้น ตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงช่วงครึ่งปี 2549 จะอยู่ในที่ประมาณร้อยละ 6 ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการตรึงราคาน้ำมันเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในช่วงประมาณกลางปี 49 อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มลดระดับลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งขณะเดียวกันนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยควบคู่กันไปด้วย จนกว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก อันจะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนมีการออมเพิ่มขึ้น ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวกได้อย่างแน่นอนภายใน ปีหน้า

"เวลานี้จำเป็นที่จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะไล่ทันอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในปีหน้ามั่นใจว่าจะสามารถไล่ทันแน่ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเมื่อใดของปีหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ฝากเงินได้รับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อเสียที เพื่อจูงใจให้มีการออมในประเทศมากขึ้น" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

ขณะที่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด คาดว่า ประเทศไทยจะยังคงขาดดุลไปอีกประมาณ 2-3 ปี โดยปีนี้คาดว่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึงประมาณ 3,500-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ในที่สุดแล้วปัญหานี้จะหมดสิ้นไป เพราะปัจจุบันเริ่มมีการขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้นแล้ว และ มีการคิดค้นพลังงานทดแทนขึ้นมาใช้ แม้ว่าจะต้องประสบกับภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงนี้ แต่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะยังเจริญเติบโตได้ เพราะมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงถึง 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐ รวมทั้งเริ่มมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามามากขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ขยับสูงขึ้น โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2548 พบว่ามีเงินทุน ที่ไหลเข้ามาลงทุนในบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยโดยตรงประมาณ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ปีก่อนหน้าทั้งปีมีเพียง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งด้วยปัจจัยเหล่านี้จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบมากนัก


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.