|
MFCชี้ปีหน้าตลาดหุ้นทะลุ750 ต่างชาติเริ่มทยอยเก็บเข้าพอร์ต
ผู้จัดการรายวัน(14 ธันวาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
เอ็มเอฟซีคาดตลาดหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสทดสอบระดับ 750 จุด ขณะที่ดัชนีปลายปีนี้มีโอกาสเห็น 720 จุด ลุ้นหุ้นน้องใหม่จุดพลุดัชนีปีหน้า โดยเฉพาะหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ คาดกำไร บจ.ปีหน้าขยายตัว 5% ลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้ที่ขยายตัวกว่า 15%
นางสาวโมลิกา โอสายไทย นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโส ฝ่ายวิจัยกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปลายปีคาดว่านักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยเข้ามาเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานดีเข้าพอร์ต โดยระหว่างต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยอดการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุน ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท
สำหรับแนวโน้มดัชนีในช่วงสิ้นปีนี้คาดว่าอาจขึ้นไปทดสอบระดับ 720 จุด ส่วนแนวโน้มในปีหน้าคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวทดสอบระดับ 750 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2549 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 4.5-5% ซึ่งสูงกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะขายตัวประมาณ 4.5%
นางสาวโมลิกากล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ค่อนข้างผันผวน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น คลื่นยักษ์สึนามิ และปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะเดียวกัน การเลื่อนเข้ากระจายหุ้นในช่วงปลายปีของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ถือเป็น อีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในช่วงปลายปีไม่สู้ที่จะคึกคัก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า คาดว่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนเข้ามาลงทุนผ่านตลาดหุ้นมากขึ้น โดยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.8-2 หมื่นล้านบาท
สำหรับปัจจัยหนุนที่สำคัญในการกระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ น่าจะเป็นเรื่องของหุ้นใหม่ ที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาด หากหุ้นใหม่ที่เข้าจดทะเบียนได้รับการตอบรับจากนักลงทุน คาดว่าจะทำให้ตลาดโดยรวมดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีนี้ที่การลงทุนผ่านหุ้นจองนักลงทุน ต่างผิดหวัง
ส่วนการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) หากสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้ในปีหน้า เชื่อว่า จะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นคึกคักได้เช่นกัน เนื่องจากมีมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) สูง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับปีนี้ โดยคาดว่าอัตรากำไรของบริษัท จดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ขณะที่อัตราผลกำไรในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 15% เนื่องจากผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีกัล และหุ้นกลุ่มธนาคารในปีหน้าคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หรือไม่ได้ทะยานสูงขึ้นอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ ขณะที่กลุ่มธนาคารเริ่มมีการจ่ายภาษี ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีผลต่อการคำนวณอัตราผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งระบบกว่า 50% ซึ่งฉุดให้อัตราผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งระบบในปีหน้าปรับตัวลดลง
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจใน ปี 2549 บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากได้รับประโยชน์โดยตรงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก จะทำให้มีส่วนต่างดอกเบี้ยรับเพิ่ม และยังได้รับประโยชน์จากกรณีที่ทางการมีนโยบายซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ออกจากธนาคาร ซึ่งจุดนี้จะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนถึงเอ็นพีแอลที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภค ยังคงมีแนวโน้มไปได้ดีเช่นกัน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|