ราศี บัวเลิศ สายสัมพันธ์สร้างธุรกิจ

โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

เพียงชั่วระยะเวลาประมาณ 13 ปี ราศี บัวเลิศ เด็กสาวผิวคล้ำ ตาคม ตัวเล็ก ๆ จากจังหวัดอุตรดิตถ์ สามารถถักทอสายใยสัมพันธ์กับกองทัพ ทหาร และนักธุรกิจได้อย่างเหนียวแน่น และเหลือเชื่อ วันนี้เธอมีโครงการที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทที่ต้องบริหาร นี่ยังไม่รวมถึงอีกหลายโครงการที่รอจังหวะเข้าไปร่วมทุนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เรื่องราวของเธอจึงน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมา

ราศี บัวเลิศ ประธานกรรมการบริหารเชลเล้นจ์กรุ๊ปไม่พอใจสื่อมวลชนนักหนา ในเรื่องที่มาขนานนามเธอว่าเป็นเจ้าแม่ค้าอาวุธ การเข้ามาทำธุรกิจที่ดินหรือธุรกิจอื่น ๆ ก็เพื่อล้างคาวเงินเท่านั้น นี่คือสาเหตุสำคัญที่ติดค้างในอารมณ์ซึ่งทำให้เธอหลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อมวลชนทุกฉบับ

"ก็ไม่รู้จะให้สัมภาษณ์พิเศษไปทำไมกัน เพื่ออะไร เพื่อโปรโมตโครงการหรือก็ไม่จำเป็นเลย" ราศรีเคยกล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"

เธอพยายามย้ำกับสื่อมวลชนที่ต้องการทราบประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงานในอดีต ก่อนที่จะก้าวเข้าไปสู่ธุรกิจที่เป็นที่มาของการขนานนามนั้น

"ทำไมต้องรู้ประวัติ ดูกันที่การทำงานในปัจจุบันไม่ดีกว่าหรือ" เธอเคยย้อนถามผู้สื่อข่าวบางฉบับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตส่วนตัว และการทำงานของเธอบางช่วงบางตอนจึงไม่ถูกเปิดเผย แม้แต่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ใกล้ชิดก็พร้อมใจกันปิดปากเงียบ

ราศรีต้องอย่าลืมความจริงข้อหนึ่งที่ว่าวันนี้เธอไม่ได้ทำธุรกิจส่วนตัวเหมือนเดิมแล้ว แต่กลายเป็นนักพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่หลายโครงการ มีความเกี่ยวข้องกับคนหมู่มากนับพันนับหมื่นคนคำถามที่ว่าเจ้าของโครงการเป็นใครเป็นเรื่องที่ต้องการคำอรรถาธิบาย เป็นคำถามที่สำคัญที่ทีมงานต้องตอบลูกค้าได้แจ่มชัดในสถานการณ์ปัจจุบัน

"ผู้จัดการรายเดือน" ก็พยายามอธิบายในจุดนั้น และดูเหมือนราศรีเองก็เข้าใจ แต่เธอก็ยังพอใจที่จะทำตัวเป็นปริศนาเช่นเคย

บทชีวิตของราศรีบางช่วงบางตอนจึงจำเป็นต้องกระโดดข้ามขาดการต่อเชื่อมไปอย่างน่าเสียดาย

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 13 ปีก่อนคือในช่วงปี 2527 ราศรีกับนายทหารเกษียณราชการกลุ่มหนึ่งได้ตั้งบริษัท เจริญเลิศเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัดขึ้นมา ระบุประเภทของธุรกิจไว้ว่ารับจัดสรรธุรกิจให้ผู้อื่น รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจะประกอบไปด้วยพลเรือเอกประเทือง วงศ์จันทร์, พอเรือโทอนันต์ จันทรกุล, พันเอกสวัสดิ์ พัดชื่นใจ,ราศี และสุรชัย บัวเลิศ ผู้เป็นน้องชาย

และในปี 2529 นี้เองที่ราศรีก็ได้ใช้บริษัทนี้ร่วมกับบริษัทคู่ค้าจากต่างประเทศอีก 2 บริษัททำการประมูลขายสินค้าให้กับรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง สังกัดกระทรวงกลาโหม โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนระบุไว้ในบัญชีของบริษัทประมาณ 70 ล้านบาท

คำตัดสินที่ฟันธงลงไปว่าสินค้าตัวนี้คืออาวุธ ในขณะที่ราศรีเคยชี้แจงว่าเป็นการประมูลเกี่ยวกับการต่อเรือรบชื่อ เรือรบหลวงสุรินทร์ แต่จะเป็นอะไรก็ตามเมื่องานชิ้นนี้สำเร็จ ภาพของสายสัมพันธ์ของเธอกับกองทัพเรือ และกระทรวงกลาโหมได้เริ่มปรากฎให้เห็นมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แล้วยังเหนียวแน่นอยู่ในปัจจุบัน เธอเคยกล่าวว่า จากเงิน 70 ล้านบาทนี้เป็นเงินกองทุนในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2531 บริษัทเจริญเลิศฯ ได้เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทเวิลด์เครื่องมือแพทย์ และบริษัทริโก้อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทริโก้ฯ เดิมเป็นบริษัทขายเครื่องปรับอากาศ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นธุรกิจ นายหน้าและตัวแทน

ธุรกิจของราศรีได้ขยายตัวไปอีกหลายบริษัท เช่น บริษัทแชลแลนจ์อินดัสทรีส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ขายเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์ทุกชนิด มีบริษัทเดอาร์ไทยแลนด์เป็นโรงงานผลิต บริษัทอีเดน ออลซี่ ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็น แชลเลนจ์ เทคโนโลยี ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลาสติก

รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทต่าง ๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นมา ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมในบริษัทเจริญเลิศฯ นั่นเอง พร้อม ๆ กันนั้นในปี 2532 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจที่ดินบ้านเรากำลังบูมสุด ๆ ราศรีจึงได้ตั้งบริษัทยิ่งรวยเรียลเอสเตทขึ้น เพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน นอกจากผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมแล้ว เธอยังดึงเอาอัมพร กีรติบุตร สาวสังคมชื่อดังคนหนึ่งมาร่วมถือหุ้นด้วย

ถ้าจะมองกันว่าราศรีเติบโตในวงการธุรกิจมาได้เพราะมีผู้ใหญ่ในกองทัพสนับสนุน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเธอเป็นคนเก่ง และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลคนหนึ่ง

การซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อขายเก็งกำไรอาจจะเป็นเรื่องที่นิยมกันมากในช่วงเวลานั้นของบรรดาเศรษฐีหน้าเก่า หน้าใหม่กระเป๋าหนักทั้งหลาย แต่สายตาของราศรีไม่ได้หยุดนิ่งเพียงนั้น เธอกลับมองทะลุว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยจะเป็นธุรกิจที่มีความเป็นไปได้สูงในระยะเวลาต่อไป

ดังนั้นเมื่อปี 2535 มีผู้เอาโครงการบางมดแลนด์ซึ่งตั้งอยู่บนถนนเล็ก ๆ ริมคลองประปา และยังมีพื้นที่ในโครงการเหลืออีกประมาณ 90 ไร่มาเสนอขาย เพราะมีปัญหาทางด้านการเงินและการบริหาร เธอตัดสินใจซื้อ ทั้งที่บนถนนเส้นนี้ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาเป็นทำเลที่ค่อนข้างไกล และเปลี่ยว เป็นแหล่งที่มีพวกแขกมอญเลี้ยงวัวกันเป็นจำนวนมาก

แต่หลังจากนั้นถนนเส้นนี้ก็ได้มีการขยายเป็น 4 เลน และมีจุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 ทั้งด้านถนนงามวงศ์วานและแจ้งวัฒนะที่ไม่ไกลจากโครงการนัก จนในวันนี้ได้กลายเป็นทำเลทองทางด้านที่อยู่อาศัยอีกแห่งหนึ่ง

โครงการบางมดแลนด์ เดิมเป็นโครงการของผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำรูปแบบโครงการธรรมดามาก ซึ่งแน่นอนราศรีไม่ชอบ สินค้าที่เธอจะขาย จะต้องสวยดี คุ้มค่ากับราคาเงิน เธอจึงเปลี่ยนแปลงคอนเซ็ปต์โครงการนี้ใหม่หมด และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "ยิ่งรวยนิเวศน์"

เมื่อทำบ้านแพงที่สวยงามราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 4 ล้านบาท เพื่อน ๆ ในวงการที่ราศรีดึงมาช่วยงานทางด้านประชาสัมพันธ ์และการขายในช่วงแรก ๆ ก็คือ ยาจิตต์ ยุวบูรณ์ และทนง บุรานนท์ ซึ่งในขณะนั้นได้ตั้งบริษัทบุรกิจ จำกัด รับงานทางด้านการขายและประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว

ยาจิตต์ และทนง ทำงานร่วมกับราศรีอยู่ไม่นาน ต่อมาทั้ง 2 ก็แยกตัวเองออกมาเพื่อไปทำโครงการพัฒนาที่ดินเองหลายโครงการ เช่น สมคิดการ์เด้นท์ และริเวอร์วิลล่า คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในขณะที่โครงการยิ่งรวยนิเวศน์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านการขายนัก

สาเหตุสำคัญที่ราศรีไม่ประสบความสำเร็จในโครงการที่อยู่อาศัยของเธอในช่วงแรกเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวพร้อม ๆ กับโครงการที่อยู่อาศัยได้เกิดขึ้นมากมาย ลูกค้ามีหลายโครงการให้เลือก สงครามการแข่งขันเกิดขึ้นสูงมากในปี 2536 เป็นต้นมา และที่สำคัญทีมงานของราศรียังไม่มีมืออาชีพที่แท้จริง

ราศรีชะลอการขายโครงการไปพักหนึ่งแต่แล้วจู่ ๆ เธอทำให้วงการพัฒนาที่ดินช็อกอีกครั้งด้วยการเทกโอเวอร์โครงการตึกสูง 63 ชั้นมูลค่านับหมื่นล้านบนถนนสีลมของรังสรรค์ ต่อสุวรรณ

ราศรีซื้อโครงการนี้ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนในวงการ เพราะเป็นโครงการที่ต้องลงทุนสูง และในช่วงปี 2537 นั้นภาวะตลาดของอาคารสำนักงาน โดยทั่วไปก็กำลังซบเซาอย่างหนัก นับเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปในการบริหารโครงการที่มีพื้นที่ประมาณ 333,000 ตารางเมตร เป็นโครงการที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาอาคารสำนักงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความสูงรองจากตึกใบหยกที่สูงประมาณ 90 ชั้น

แต่ราศรีก็กล้าโดยให้เหตุผลง่าย ๆ ว่าเป็นตึกที่อยู่ในทำเลที่ดี เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะเป็นตึกที่สวยงามเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศ กับอีกเหตุผลหนึ่งคือเป็นการช่วยเพื่อน

เพื่อนที่เธอว่าคือ พวงเพ็ญ วิบูลย์สวัสดิ์ น้องสาวของรังสรรค์เอง

"รังสรรค์สีลมพรีเชียส" ถูกเปลี่ยนชื่อว่าโครงการ "โรยัลเจริญกรุง" ก็ได้เดินหน้าต่อด้านการก่อสร้าง ตึกที่ถูกสร้างค้างคาไว้เพียง 22 ชั้นได้ก่อสร้างถึงชั้นที่ 63 แล้วในปัจจุบัน โดยอำนาจเงินของราศรี

นอกจากโครงการยักษ์นี้ ปีเดียวกันนั้นราศรียังสยายปีกไปลงทุนต่างประเทศโดยเข้าไปซื้อโครงการโรงแรมที่ประเทศนิวซีแลนด์ โรงแรมนี้แรกเริ่มที่ซื้อมายังไม่ได้พัฒนา มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ริมทะเลสาบ โรโตรัว เมื่อซื้อมาแล้วราศรีก็ได้ปรับปรุงเป็นโรงแรม "โรยัล เลคไซด์ โนโวเทล" โรโตรัว เป็นโรงแรมขนาด 4 ดาว และได้เปิดบริการไปแล้วเมื่อกลางปี 2538 ที่ผ่านมา

ส่วนทางเมืองไทยราศรีก็ทะยอยเปิดโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องอีก 3 โครงการ หวังกวาดลูกค้าทุกระดับ ตั้งแต่กลุ่มที่เริ่มก่อร่างสร้างตัว ไปจนถึงกลุ่มลูกค้าที่จะมีกำลังซื้อบ้านอาศัยในราคาหลังละ 10 ล้านบาทขึ้นไป

ในขณะเดียวกันข่าวคราวที่ว่าราศรีมีความสนใจที่จะเข้าไปซื้อโครงการต่าง ๆ ก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าในเรื่องสายการบินที่ 2 ธุรกิจโทรคมนาคม การเข้าไปซื้อโรงแรมในต่างประเทศ รวมทั้งมีทีมงานที่กำลังศึกษาโครงการพัฒนาที่ดินที่เสนอตัวเข้ามาให้เทกโอเวอร์หลายโครงการ

โครงการของสมประสงค์กรุ๊ป และโครงการของรัตนการเคหะ ได้ถูกทีมงานของราศรีเอามาศึกษาความเป็นไปได้แล้วทั้งสิ้น

ปฏิบัติการเชิงรุกในธุรกิจอย่างต่อเนื่องของเธอในเวลานี้ สร้างความสงสัยให้กับวงการเป็นอย่างมากว่าเธอเอาเงินมาจากไหนในเมื่อบริษัทหลัก ๆ ของเธอที่ทำธุรกิจเกือบทุกบริษัทไม่มีตัวเลขกำไร (อ่านล้อมกรอบค้นกระเป๋าเงินราศรี)

ถ้าไม่มีฐานที่มาทางการเงินที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ราศรีคงเป็นแม่มดทางการเงินที่เก่งกาจรายหนึ่งทีเดียว

ปัจจุบันแชลเล้นจ์กรุ๊ป มีบริษัทหลักอยู่ 4 กลุ่มคือ 1. บริษัททางด้านซื้อมาขายไป คือเจริญเลิศเอ็นเตอร์ไพรส์ 2. บริษัททางด้านอุตสาหกรรม 3. บริษัททางด้านพัฒนาที่ดิน และ 4. บริษัททางด้านโรงแรมและบริการ

ช่วงปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 ที่ผ่านมาแชลเล้นจ์กรุ๊ปจึงมีการปรับปรุงโครงสร้างการทำงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้องานที่เพิ่มมากขึ้น

ในช่วงระยะแรก ๆ ที่เริ่มมีการขยายตัวของบริษัทนั้น ราศรีก็ใช้วิธีการแยกกันทำแยกกันบริหาร โดยมีคณะกรรมการจากบริษัทเจริญเลิศเอ็นเตอร์ไพรส ซึ่งเป็นบริษัทแม่คอยคุมนโยบาย แต่หลังจากการซื้อโครงการโรยัลเจริญกรุงเข้ามาแล้ว ก็ได้รวมเป็นกลุ่มชัดเจนขึ้นเป็น แชลเล้นจ์ กรุ๊ป เพื่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพขึ้นมีการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องของการตลาด โดยบริษัทที่ยังเป็นแกนนำก็คือเจริญเลิศฯ เหมือนเดิม มีราศรีเป็นกรรมการผู้จัดการ และคณะกรรมการก็จะมาจากผู้บริหารแต่ละบริษัท

ทางด้านบริหาร ในกิจการด้านการซื้อมาขายไปและด้านอุตสาหกรรมนั้น ราศรีจะเป็นผู้ดูแลโดยตรง

ส่วนธุรกิจด้านอสังหริมทรัพย์ที่กำลังก่อสร้างนั้น ราศรีจำเป็นต้องมีมืออาชีพเข้ามาช่วยอย่างเร่งด่วน เพราะบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วไม่มีการสร้างขุมกำลังพลที่แข็งแกร่งประจำการอย่างต่อเนื่องนั้น อาจจะทำให้โครงการล้มได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ซึ่งอันนี้มีตัวอย่างให้เห็น ๆ แล้วหลายราย

ราศรีมีความตั้งใจจริงที่จะทำโครงการทุกโครงการให้ดีมีคุณภาพ "เธอเองก็รู้ตัวว่ามีคนหลายคนจับตามองอยู่ ดังนั้นเธอต้องทำให้ได้ดีที่สุด" เพื่อนผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งกล่าว

ความขยันเอาจริงเอาจังของเธอทำให้ทีมงานต้องเตรียมตัวตั้งรับอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่าวันนี้เธอจะโผล่ไปตรวจงานที่ไซต์ไหน บางวันราศรีอาจจะปีนบันไดเข้าไปตรวจงานบ้านที่กำลังก่อสร้าง เห็นตรงไหนผิดพลาด ก็จะสั่งแก้สั่งรื้อทันที

มาฆะ โทณะวณิก เป็นนักพัฒนาที่ดินมืออาชีพที่ราศรีดึงเข้ามาช่วยทำโครงการเมื่อปี 2538 ซึ่งในช่วงนั้นกำลังทำโครงการที่สุวินทวงศ์ ซึ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปัจจุบันมาฆะมีตำแหน่งเป็นกรรมการรองผู้จัดการ

มาฆะจบการศึกษาจากคณะสถาปัตย์ สถาบันเทคโนฯ พระจอมเกล้าลาดกระบังรับราชการอยู่ที่ศรีราชา 1 ปี แล้วลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว โดยการรับงานออกแบบก่อสร้าง ต่อมาเริ่มทำโครงการของตนเองและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย เช่น บริษัทรับทำความสะอาด กิจการล่าสุดคือโรงแรมซิตี้โฮเต็ลที่ศรีราชา หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาทำธุรกิจที่ดินในกรุงเทพฯ โดยไปมีหุ้นส่วนในโครงการนอร์ทปาร์ค ในสมัยเริ่มแรกของกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แต่ปัจจุบัน ได้ขายหุ้นให้กลุ่มเอื้อชูเกียรติไปหมดแล้ว

มาฆะเล่าว่า สาเหตุที่ยอมเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างให้กับราศรีเป็น เพราะเห็นว่าเป็นคนที่มีความตั้งใจจริงที่จะทำธุรกิจและงานที่เข้ามารับผิดชอบก็เป็นงานใหญ่ที่ท้าทาย ที่สำคัญมาฆะย้ำว่าราศรีเป็นคนมีเงิน

ภายในระยะเวลา 2 ปีที่เข้ามาร่วมงานกับราศรีจะเห็นว่าเธอมีความไว้วางใจมาฆะเป็นอย่างมาก เพราะมอบหมายงานด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นผู้ดูแลทั้งหมดแม้แต่โครงการมูลค่านับหมื่นล้านอย่าง "โรยัลเจริญกรุง"

มาฆะเข้ามาสู่อาณาจักรของราศรีโดยเกี่ยวก้อยเอาลูกน้องมาด้วยคนหนึ่งคือ บุณฑริก กุศลวิทย์ ซึ่งบุณฑริก นี้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และฝ่ายขายของเชลเล้นจ์กรุ๊ป ประวัติของเธอเป็นสถาปนิกรุ่นน้องของมาฆะที่สถาบันเทคโนพระจอมเกล้าลาดกระบัง และเป็นผู้จัดการโรงแรมของมาฆะที่ชลบุรี

จากโครงการมูลค่าเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาทที่ศรีราชามารับผิดชอบการบริหารโครงการ และบริหารการขายมูลค่านับหมื่นล้านของแชลเล้นจ์กรุ๊ปนั้นเรียกได้ว่าเป็นงานที่ท้าทายสถาปนิกทั้ง 2 คนนี้มากทีเดียว กำลังหลักด้านที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ประมาณ 5 คน 3 ใน 5 คนเป็นเครือญาติของเธอ

คนแรกคือกัญญ์วรา วัยคุณาน้องสาวแท้ ๆ ซึ่งราศรีดึงเข้ามาช่วยงานที่บริษัทเจริญเลิศ เอ็นเตอร์ไพรส์ ตั้งแต่ปี 2530 ช่วงแรก ๆ จะทำงานด้านธุรการ จัดซื้อ แต่ตอนนี้เธอเข้าไปเป็นผู้จัดการโครงการที่ยิ่งรวยนิเวศน์ และกำลังเป็นลูกศิษย์อาจารย์มานพ พงศทัติในโครงการ RE.CU รุ่น 19

เจษฏ์สุดา บัวเลิศ เป็นหลานสาวของราศรีอีกคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทที่อเมริกา แล้วมาเริ่มงานที่นี่ในส่วนของเลขากรรมการบอร์ดบริษัทเจริญเลิศเอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งจากตรงจุดนี้ทำให้ได้รับรู้งานด้านบ้านจัดสรรและพัฒนาที่ดินของบริษัท เลยมีความสนใจ และคิดว่าน่าทำ เลยย้ายงานมาทำด้านการจัดซื้อในส่วนของงานด้านอสังหาริมทรัพย์เมื่อประมาณปี 2537 จนในที่สุดมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการโรยัลปาร์ค วิลล์ สุวินทวงศ์

ส่วนอีกคนคือกุลชัย บัวเลิศ เป็นน้องชายของราศรีที่ดึงเอามาช่วยงานด้านประสานงานกองทัพตั้งแต่อายุ 20 กว่า ๆ และตอนนั้นกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปัจจุบันเป็นกรรมการคนหนึ่งของเชลเล้นจ์กรุ๊ป จากการที่เป็นผู้ทำงานใกล้ชิดพี่สาวมาตลอด บทบาทของกุลชัยในกลุ่มนี้จึงน่าจับตายิ่ง

อัมรา ศิลา จากค่ายเครือซิเมนต์ไทยเข้ามาร่วมงานกับกลุ่มนี้เมื่อกลางปี 2536 ตอนแรกก็เข้ามาช่วยด้านโครงการที่ยิ่งรวยนิเวศน์ หลังจากนั้นก็ได้ไปช่วยดูงานด้านธุรการที่สำนักงานใหญ่ ปัจจุบันได้เข้ามารับผิดชอบเป็นผู้จัดการโครงการโรยัลสายไหม

ผู้หญิงคนสุดท้ายคืออรทัย ตันติเมธ ซึ่งรับผิดชอบตัวโรงแรมโรยัล เลคไซด์โนโวเทล โรโตรัว อรทัยเข้ามาช่วยงานราศรีเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2538 เป็นคนไทยคนเดียวในกลุ่มผู้บริหารโรงแรมเธอเกิดเมืองไทย แต่ครอบครัวย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เล็ก ๆ เลยโตเมืองนอกส่วนใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ เรียนหนังสือที่อเมริกามีประสบการณ์ทางด้านเรียลเอสเตทและด้านโรงแรมมาบ้าง

ทีมงานด้านบริหารเรียลเอสเตทนั้นนอกจากมาฆะแล้ว เรียกได้ว่าเป็นน้องใหม่ในวงการนี้ทั้งสิ้น ส่วนคนเก่า ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคือนายทหารนอกราชการกลุ่มเดิมเช่น พลเรือเอกอนันต์ วงศ์จันทร์, พลเรือโทอนันต์ จันทรกุล, พลเอกสมุทร นิลกุล ปัจจุบันอายุประมาณ 70 ปี ซึ่งเจษฎ์สุดากล่าวว่ายังเป็นที่ปรึกษาและมีประสบการณ์ให้กับรุ่นลูก รุ่นหลานที่บริษัท

แม้ภาพของราศรีในธุรกิจอื่น ๆ ไม่แจ่มชัดนัก แต่ในส่วนของพัฒนาที่ดินนั้น ถ้าทีมงานของเธอแข็งแกร่ง มีการวางแผนที่ดีพอ ก็อาจจะประสบความสำเร็จไม่ยากนัก จะช้าหรือเร็วแค่นั้น!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.