|
"แฉทุจริต"แอร์พอร์ตลิงก์
ผู้จัดการรายวัน(12 ธันวาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
แฉ ร.ฟ.ท.เซ็นโครงการ "แอร์พอร์ตลิงก์" ก่อน เลือกตั้ง 2 สัปดาห์ พบพิรุธในสัญญาที่ร.ฟ.ท.ต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมแทนผู้รับเหมา "ชูวิทย์" เตรียมบรรจุในศึกซักฟอก เชื่อเสร็จไม่ทันปี 49 ตามนายกฯลั่นวาจาแน่ ด้าน ปชป.แฉนักการเมืองตั้งบริษัทเซอร์เวย์แดดเดียว ฮุบโครงการจำนำข้าว เตรียมนำประเด็นที่ "สนธิ" แฉในรายการเมืองไทยฯไปอภิปราย ไม่ไว้วางใจ รัฐบาลด้วย
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย และหนึ่งในคณะกรรมการตรวจงานสนามบินสุวรรณภูมิ ในคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)แถลงถึงกรณีที่มีการเซ็นสัญญาโครงการ ระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงก์) ระยะทาง 28 กิโลเมตร มูลค่า 25,900 ล้านบาทว่า ตนมีข้อมูลความไม่โปร่งใสโครงการนี้คือมีการเซ็นสัญญา ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)กับบริษัท บีกริม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท จอยน์เวนเจอร์ซิโนไทย บีกริม ซีเมนส์ ในวันที่ 18 ม.ค.48 ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญาล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 6 ก.พ.48 ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาล ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ ทั้งๆที่โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่ แต่ทำกันเงียบมาก และสัญญาที่ทำก็มีรายละเอียดแค่ 19 หน้า
ทั้งนี้ ข้อตกลงในการว่าจ้างระบุไว้ในสัญญาว่า ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับจ้างทำงานก่อสร้างโครงการนี้และเชื่อมต่อสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองตามแนวเส้นทางรถไฟสายตะวันออก รวมระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตร ประกอบด้วย 8 สถานี ได้แก่ 1. พญาไท 2. ราชปรารภ 3. มักกะสัน-อโศก 4. รามคำแหง 5. หัวหมาก 6. บ้านทับช้าง 7. ลาดกระบัง และ 8. สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีลักษณะการดำเนินของโครงการมี 3 แบบคือ
1. รถไฟฟ้าด่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi Airport Express) ที่ให้บริการช่วงระหว่างสถานีมักกะสัน-อโศก และสถานีสุวรรณภูมิ โดยไม่จอดตามสถานีระหว่างทางระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่เกิน 15 นาที
2. รถไฟฟ้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi Airport City Line) ให้บริการช่วงระหว่างสถานีพญาไท(ผ่านสถานีมักกะสัน-อโศก) และสถานีสุวรรณภูมิ โดยจอดตามสถานีระหว่างทางระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่เกิน 30 นาที
และ 3. สถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานใน เมือง ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกับสถานีมักกะสัน-อโศก โดยผู้โดยสารอากาศยานสามารถที่จะเลือกตรวจผ่านตั๋วโดยสาร และกระเป๋าสัมภาระล่วงหน้าได้ที่สถานีมักกะสัน-อโศก
นายชูวิทย์กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสังเกตอยู่ที่ในสัญญาข้อที่ 4.3 ระบุถึงข้อสัญญาเรื่องค่าธรรมเนียมทางการเงิน ประมาณ 1,666 ล้านบาท ซึ่งปกติผู้รับเหมาจะต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารที่ให้การสนับสนุนด้านการเงินให้กับผู้รับจ้าง ซึ่งธนาคารในที่นี้ คือธนาคารกรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย แต่ปรากฏว่าทาง ร.ฟ.ท.กลับต้องรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าว จึงเสมือนเงินค่าเปิดปากถุงให้ผู้รับเหมา ทั้งๆ ที่ทราบกันดีว่า ร.ฟ.ท.เป็นรัฐ-วิสาหกิจที่ขาดทุนมาโดยตลอด
"ขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบโครงการนี้ว่า มีการดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และมีการจ่ายเงินกันไปกี่ครั้ง ซึ่งโครงการนี้เป็นการสร้างขึ้นเพื่อรองรับผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีระยะเวลาในการสร้างที่ในสัญญากำหนดไว้ 990 วันหรือประมาณ 3 ปีนับตั้งแต่วันที่มีการเซ็นสัญญา ซึ่งขณะนี้เท่าที่ไปตรวจโครงการล่าสุดก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงอยากทราบว่าโครงการนี้จะเสร็จเมื่อไร เพราะนายกรัฐมนตรียืนยันมาตลอดว่าจะสามารถเปิดสนามบินสุวรรณภูมิใช้ได้ทันในเดือนมิ.ย.49 ซึ่งผมเชื่อว่าเสร็จไม่ทันแน่นอน และพรรคชาติไทยจะขอร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนพ.ค.49 แน่นอน" นายชูวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติอีกว่ามติที่ประชุมของ ร.ฟ.ท.ตั้งแต่ปี 45-48 โดยเฉพาะการจ้างบริษัทที่ปรึกษาภายหลังการประมูลโครงการโดยมีวงเงิน 455 ล้านบาท และยิ่งไปกว่านั้นยังพบข้อพิรุธในเรื่องอื่นอีกว่ามีการว่าจ้างให้ผู้รับเหมาให้รื้อบ้านพัก รั้ว ห้องสุขา ของพนักงาน ร.ฟ.ท.ที่มักกะสัน ถึง 167 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะบ้านพักก็มีสภาพที่ทรุดโทรมมากแล้ว แต่ทำไมถึงได้มีการอนุมัติค่าใช้จ่ายสูงมากขนาดนี้
ปชป.แฉเงื่อนงำบริษัทเซอร์เวย์รับจำนำข้าว
นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรค ประชาธิปัตย์ แถลงถึงปัญหาการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในปี 48-49 ว่า มีข้อพิรุธในขั้นตอนการ ประมูลบริษัทผู้ตรวจสอบและรับผิดชอบคุณภาพ ชนิด และน้ำหนักข้าวสาร หรือบริษัทเซอร์เวย์ (survey)
ทั้งนี้ เนื่องจากการประมูลที่จัดโดยองค์การ คลังสินค้าโดย นายนภศูล อังคทะวนิช ผู้อำนวย การคลังสินค้า ได้ประกาศประกวดราคาบริษัทเซอร์เวย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ต.ค.48 และได้กำหนดเปิดซองราคาวันที่ 11 พ.ย.48 แต่ก็มีการยกเลิกเพราะเอกสารใบประมูลไม่เรียบร้อย จึงได้ประกาศผลประมูลอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 48 มีการกำหนดเปิดซองราคา วันที่ 17 พ.ย. แต่ก็มีการยกเลิกอีก และในครั้งที่ 3 มีการประกาศประกวดราคาเมื่อวันที่ 18 พ.ย. และเปิดซองเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ปรากฏว่ามี 4 บริษัทเซอร์เวย์ที่ได้รับงานไป โดยพบว่า 2 บริษัทมีประวัติผลงานถูกต้องไม่มีข้อครหาใดๆ แต่อีก 2 บริษัท กลับเป็นบริษัทเซอร์เวย์ประเภทแดดเดียว คือบริษัทที่ขอจดทะเบียนสดๆ ร้อนๆ แล้วเข้ามาประมูลงาน และยังเป็นบริษัทที่เข้ามารับงานเพียงบริษัทเดียว และรับตรวจสอบคุณภาพข้าวในคราวละมากๆ หรือ big lot
นายยุทธพงษ์ กล่าวว่า จากที่ตนได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลลึกพบว่า 2 บริษัท ที่ได้งานมีหนึ่งบริษัทมีนักการเมืองเป็นเจ้าของ ที่อดีตเคยเป็นบริษัททนายความ แล้วเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นบริษัทเซอร์เวย์ อีกบริษัทเจ้าของเป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการขอจดทะเบียนตั้งบริษัทตั้งแต่ ปี 44 แต่เพิ่งได้รับใบอนุญาตไม่กี่เดือนนี้ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน เพราะในเวลาแค่ 1 เดือน กลับมีการประกวดราคาบริษัทเซอร์เวย์ถึง 3 ครั้ง ที่สำคัญมีการกำหนดวงเงินค้ำประกันสูง เพื่อกีดกันไม่ให้บริษัทอื่นมาแข่งขัน
"ถ้าบริษัทเซอร์เวย์เลวๆร่วมมือกับพ่อค้าบางคน และข้าราชการชั่วโกงกันได้ง่ายมาก เช่น มีการปลอมปนข้าวหอมละมิโดยนำข้าวสารหอมปทุมธานี ที่มีราคาถูกกว่ามาแทนข้าวสารหอมมะลิแท้ ที่ยากต่อการตรวจสอบด้วยตาเปล่า เพราะต้องตรวจสอบทางดีเอ็นเอถึงจะรู้ จะทำให้ บริษัทเหล่านี้หากินกับส่วนต่างในราคาข้าวต่อกระสอบ" นายยุทธพงษ์ กล่าว
เรื่องนี้ ตนขอตั้งคำถามไปยัง ผู้อำนวยการ อคส.ว่าได้สืบประวัติบริษัทแดดเดียวนี้แล้วหรือยัง และขอให้ นายปรีชา เลาหพงษ์ชนะ รมช. พาณิชย์ ในฐานะกำกับดูแล อคส.เข้าไปตรวจสอบสำนักงานบริษัทแดดเดียวที่ได้งาน 1,800 ล้านบาท จาก อคส.ตั้งอยู่ที่ไหน และขอให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.พาณิชย์ มาตรวจสอบด้วย แทนที่จะยุ่งอยู่กับเรื่องเมกะโปรเจกต์จนลืมดูปัญหาชาวนา อีกทั้งขอให้ ผอ.อคส.ออกมาชี้แจงเรื่องนี้โดยด่วน และจะคอยดูว่านายกฯจะจัดการเอาจริงกับเอาจังกับเรื่องนี้หรือไม่ นำประเด็น "สนธิ" เปิดศึกซักฟอก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าว่า พรรคจะดำเนินการไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีข้อมูลอย่างเพียง พอ เพราะพรรคไม่ได้ต้องการเปิดอภิปรายตามเทศกาล หรือเพื่อความสะใจของพรรคหรือของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ตามกระบวนการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ขณะนี้คนที่รับผิดชอบเบื้องต้นในการรวบ รวมข้อมูลอภิปรายก็คือ คณะทำงานด้านต่างๆของพรรค โดยข้อมูลในส่วนกระทรวงคมนาคม ก็จะอยู่ในส่วนของคณะทำงานด้านคมนาคม ส่วนข้อมูลด้านอื่นก็อยู่ในส่วนของคณะทำงานชุดต่างๆ และเมื่อคณะทำงานได้รวบรวมข้อมูลพอสมควรแล้วจะนำเสนอต่อคณะผู้บริหารพรรค จากนั้นจะกลั่นกรองว่าข้อมูลที่ได้รับมาว่ามีน้ำหนักเพียงพอที่จะอภิปรายหรือไม่ เพื่อที่จะใช้ในการยื่นญัตติต่อไป แต่หากไม่มีน้ำหนักเพียงพอพรรคก็จะไม่ยื่น
นายองอาจ ยังกล่าวถึงข้อมูลที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นำมาเปิดเผยว่าเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินรัสเซีย หรือ ข้อมูลที่ใครนำมาเปิดเผยก็ตาม พรรคถือว่าเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญทั้งสิ้น เพราะเรื่องที่เกี่ยว ข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นภาระหน้าที่ของ ฝ่ายค้านอยู่แล้วในการติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม
"กรณีการซื้อเครื่องบินรัสเซีย มีคนของพรรคติดตามอยู่ โดยเท่าที่ฟังดูพบว่าข้อมูลดังกล่าวน่าจะอยู่ขั้นตอนความพยายามแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ นอกจากนี้พรรคจะตรวจ สอบดูว่าในขณะนั้นใครเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ และรัฐมนตรีดังกล่าวที่เกี่ยวข้อง ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือมีการละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่หรือไม่"โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบทุจริตของวิปฝ่ายค้าน ยืนยันความพร้อมของฝ่ายค้านในการที่จะช่วยสนับสนุน และติดตามตรวจสอบข้อมูลการทุจริตต่างๆที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล นำมาเปิดเผย ตลอดจนข้อมูลต่างๆจากภาคประชาชน และสื่อมวลชนเพื่อใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีการนำประเด็นความไม่ชอบมาพากลต่างๆ มาตั้งเป็นกระทู้ถามสดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในรัฐบาล เช่น กรณีการ ใช้เครื่องบิน ซี-130 ไปร่วมงานวันเกิดของน้องสาวนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ได้ประเด็นเพิ่มเติมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้เครื่องบินไทยคู่ฟ้าที่เป็นพาหนะของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานชื่อบุคคลที่ใช้เครื่องบินทั้งสองลำ ตามที่พล.อ. ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหมเคยรับปากไว้ และเห็นว่าการชี้แจงของรมว. กลาโหมในสภา ก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นต่อไปควรต้องมีการนำมาตรการการประณามมาใช้สำหรับรัฐมนตรีที่พูดโกหกในสภา เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานในการชี้แจงหรือตอบคำถามที่ดีของคนในรัฐบาล
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ได้เดินทางมาร่วมทำบุญสำนักงานสาขาพรรค ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งได้แจก เสื้อเหลืองเขียนใจความว่า "เราจะสู้เพื่อในหลวง" ไว้ที่หน้าอกเปิดเผยถึงกรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเปิดโปงการซื้อเครื่องบินรบจากรัสเซียไม่โปร่งใส ว่า ข้อมูลที่นายสนธินำมาเป็นหลักฐานมีน้ำหนักเชื่อได้ เนื่องจากเป็นหลักฐาน ทางราชการ ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันตรวจสอบ ในฐานะพรรคฝ่ายค้านก็ต้องเข้าไปตรวจสอบอย่างแน่นอน รัฐบาลเตรียมรับมือศึกอภิปรายฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า การอภิปรายไม่ ไว้วางใจถือเป็นเครื่องมือของพรรคฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล และเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในระบอบประชาธิปไตย ที่ฝ่ายค้านทำมาทุกปีอยู่ แล้ว มีเพียงปีที่แล้วเท่านั้นที่ไม่ได้ยื่นอภิปราย
อย่างไรก็ตาม เราคาดหวังว่าการอภิปรายฯ ต่อจากนี้ไปจะเป็นการอภิปรายในเชิงสร้างสรรค์ ตรวจสอบผู้กระทำความไม่เหมาะสมจริงๆ มีการ นำเสนอข้อมูลตามข้อเท็จจริง ซึ่งในส่วนของรัฐบาลก็ไม่ได้มีความหนักใจอะไร จะเตรียมการ ให้ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงการทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องโปร่งใส มีลักษณะของธรรมาภิบาล ไม่ต้องไปกังวลเรื่องการตรวจสอบ เพราะเมื่อเข้ามาทำหน้าที่นี้ก็ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
หากฝ่ายค้านเตรียมหยิบยกประเด็นที่นาย สนธิ ลิ้มทองกุล นำมาเปิดเผยต่อที่สาธารณะขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ประเด็นของนายสนธิ หรือประเด็นของคนอื่นที่จะเสนอมาในอนาคตก็เป็นเรื่องที่สามารถตรวจสอบได้ทุกด้านอยู่แล้ว ฉะนั้นพรรคฝ่ายค้านควร จะรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ไม่ใช่มีเพียงข้อมูล ของนายสนธิเท่านั้น ส่วนรัฐบาลก็มีหน้าที่ชี้แจง เพราะบางเรื่องอาจจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน หรือข้อมูลไม่รอบด้าน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องชี้แจง เพื่อให้เกิดความจริงต่อสาธารณชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่ากังวลอะไร และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ก็กำชับอยู่เสมอ ทั้งรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง ให้กำชับต่อไปถึงข้าราชการทุกระดับว่า การทำงานที่จะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องเป็นในลักษณะที่มีการตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส และมุ่งผลประโยชน์ของประชาชน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|