"MGE ขอโตตามตลาดคอมพิวเตอร์ไทย"


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ทุกวันนี้บริษัทต่าง ๆ มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าขัดข้องอยู่เสมอ เช่น ไฟดับ ไฟตก ไฟเกิน ซึ่งมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรเหล่านั้นอย่างมาก โดยเฉพาะต่อระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้โดยใช้เครื่องสำรองไฟฟ้าแบบต่อเนื่องหรือ UPS (Uninterruptible Power Supply) ซึ่ง UPS ก็คือแบตเตอรี่สำรองที่ติดตั้งอยู่ระหว่างแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าหลักกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์

โดมินิค ปาเลมู กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจีอี อิเล็กทรอนิกส์ สยาม จำกัด กล่าวถึงความสำคัญของการใช้ UPS ในเมืองไทยว่าในอดีตที่ผ่านมาคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ UPS เลย เนื่องจากมองว่าเป็นอุปกรณ์ที่สิ้นเปลืองและแพง แต่ละบริษัทยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลและเวลาที่เสียไปหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เสียหายไป จากการที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องหรือตก ซึ่งในเมืองไทยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก โดยเฉพาะในฤดูฝน

"แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว หลายบริษัทเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการติดตั้ง UPS มากขึ้นแทบจะพูดได้ว่าทุกระดับธุรกิจและอุตสาหกรรมเริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันไว้ก่อนในเรื่องกระแสไฟฟ้าบกพร่อง" โดมินิค กล่าว

เอ็มจีอี ดำเนินการขายและการให้บริการระบบ UPS ยี่ห้อ Merlin Gerin ในประเทศไทยถือกำเนิดด้วยความร่วมมือระหว่าง MGE UPS System ประเทศฝรั่งเศส U Group ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย Merlin Gerlin

เหตุผลที่ตั้งเอ็มจีอีขึ้นมานั้นเนื่องจากความยากลำบากในการแข่งขัน ดังนั้นการร่วมทุนกับเจ้าของเทคโนโลยีได้แก่ MGE UPS System ผนวกกับ U Group ที่มีความชำนาญด้านการตลาดในเมืองไทยมาเป็นเวลา 8 ปี ทำให้ความได้เปรียบด้านการแข่งขันมีศักยภาพสูงขึ้น

"เอ็มจีอี มีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยทางฝรั่งเศสถือ 48% ส่วน U Group ถือ 42% และบริษัทอื่น ๆ ในไทยถืออีก 9%" โดมินิค เล่า

เขากล่าวต่อไปว่าเนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ให้ความสำคัญต่อ UPS มากขึ้นทำให้ช่องทางการตลาดของเอ็มจีอีตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะสดใสมากขึ้น เพราะในปีที่ผ่านมาการเติบโตของตลาด UPS สูงถึงปีละ 40% และคาดว่าตลาดนี้ยังจะขยายตัวไปได้อย่างต่อเนื่อง

สาเหตุที่ตลาด UPS มีอัตราเติบโตดีนั้น ส่วนหนึ่งมาจากตลาดคอมพิวเตอร์ในไทยมีการเติบโตสูงมาก คือ ประมาณปีละ 30% ดังนั้นเมื่อตลาดคอมพิวเตอร์ดี ตลาด UPS จะดีตามไปด้วย เนื่องจากการทำตลาดส่วนใหญ่จะเป็นการทำธุรกิจพ่วงไปกับบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำในเมืองไทยแทบทุกบริษัท เช่น ไอบีเอ็ม, ดิจิตอล, และอิวเล็ตต์ แพคการ์ด จึงกล่าวได้ว่าธุรกิจของเอ็มจีอีจะโตไปตามอัตราการเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กิจกรรมช่องทางการตลาดของ UPS แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของตลาดคอมพิวเตอร์ คือขนาดใหญ่ที่เป็นระบบเมนเฟรม, ขนาดกลางหรือมินิคอมพิวเตอร์และขนาดเล็กซึ่งเอ็มจีอีจะมีผลิตภัณฑ์กระจายอยู่ทั้ง 3 ตลาด

"ดังนั้นเราจะได้เปรียบคู่แข่งอย่างมากในด้านการแข่งขัน เพราะเราจะให้ความสำคัญต่อทั้ง 3 ตลาด โดยมีส่วนแบ่งตลาดรวมประมาณ 12% แต่ถ้ามองแต่ละตลาดจะมีส่วนแบ่งตลาด ๆ ละประมาณ 50% ในขณะที่คู่แข่งบางรายเขาจะให้ความสำคัญบางตลาดเท่านั้น" โดมินิค กล่าว

อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาดดังกล่าว กลุ่มที่ขยายตัวมากที่สุดจะเป็นขนาดกลางและขนาดเล็ก สังเกตได้จากขณะนี้มีคนใช้เมนเฟรมน้อยลงต่างจากอดีตที่มีการใช้เมนเฟรมกันมากทำให้ UPS ขนาดใหญ่เป็นที่ต้องการสูง แต่ในปัจจุบัน UPS ขนาดกลางและเล็กเป็นที่ต้องการมากกว่า ซึ่งเอ็มจีอีก็ได้ปรับกลยุทธ์ไปตามความต้องการของตลาดด้วยการผลักดันผลิตภัณฑ์ UPS ในกลุ่มขนาดกลางและเล็กให้มากขึ้น

"กลยุทธ์การตลาดปีนี้ จึงเน้นทำตลาด UPS ขนาดกลางและเล็กที่มีราคาต่ำ เพื่อขยายตลาดให้กว้างมากขึ้น มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ไม่มาก ซึ่งจากเดิมเราเน้นไปยังบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ระบบเมนเฟรม เช่น สถาบันการเงิน บริษัททางด้านสื่อสารโทรคมนาคม รัฐวิสาหกิจ ฉะนั้นจุดแข็งของเราคือผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น UPS ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก และปัจจุบันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเอ็มจีอีสามารถ Move ตามแนวโน้มของตลาดพวกนี้ได้" โดมินิค เล่า

นอกจากนี้จุดเด่นของเอ็มจีอีอย่างหนึ่งคือการให้บริการหลังการขาย โดยจะมีพนักงานไว้บริการอย่างเต็มที่ รวมทั้งยังนำช่องทางวิธีการขายตรงเข้ามาใช้ เพราะในอดีตส่วนใหญ่จะเป็นการขายผ่านดีลเลอร์หรือซัปพลายเออร์

"ความสามารถในการบริการนั้นจะเป็นกลยุทธ์แบบใหม่ด้านตลาดของเรา คือจะเดินตามกระแสของความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด มีการปรับปรุงแก้ไขการบริการอยู่เสมอ วิธีที่เอ็มจีอีสามารถตอบสนองได้เร็วนั้น คือมีพนักงานที่ใกล้ชิด เช่นมีช่างเทคนิคที่เพียงพอ มีระบบขนส่งที่ดีและการตั้งศูนย์บริการให้ใกล้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งภายในไตรมาสแรกนี้มีแผนขยายศูนย์บริการที่ระยอง, เชียงใหม่ส่วนภาคใต้ยังเลือกอยู่ว่าจะเปิดที่สงขลา หรือหาดใหญ่ อีกทั้งจะขยายตลาดไปประเทศแถบอินโดจีนในปีหน้าด้วย โดยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาด" โดมินิค กล่าว

ปัจจุบันระบบ UPS ที่จำหน่ายในประเทศไทย มี มากมายหลายยี่ห้อ อาทิ APC, DETEC, SIEMENT, VICTRON ด้านระดับราคานั้นจะแตกต่างกันไปตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท แล้วแต่ขนาดและความต้องการที่นำไปใช้ ส่วนด้านการแข่งขันนับว่าเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากความตื่นตัวของการใช้ UPS ที่เพิ่มสูงขึ้น

"เราหวังว่าจะสามารถนำสินค้าเข้ามาตีตลาด UPS ในเมืองไทยได้ โดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขาย อีกทั้งสินค้าของเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีทั้งในแถบยุโรปทุกประเทศและแถบเอเชีย"

สำหรับความคาดหวังรายได้ในปีนี้ โดมินิคคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำรายได้ที่ระดับ 200 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วประมาณ 33% จากมูลค่าตลาดรวมที่คาดว่าจะมีประมาณ 2,000 ล้านบาท

ฟังแล้วน่าสนใจทีเดียว สำหรับแผนงานด้านการตลาดของบริษัทน้องใหม่อย่างเอ็มจีอีแต่มีผู้ร่วมทุนหน้าเก่า ๆ ที่มีประสบการณ์ในวงการ UPS อย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ความหวังที่โดมินิคหวังเอาไว้ว่าจะเป็นผู้นำในธุรกิจคงจะไม่ไกลเกินเอื้อม



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.