เอ่ยชื่อสกุล "จิราธิวัฒน์" ต่างเป็นที่รู้จักกันดีว่า ตระกูลนี้มีความสามารถเพียงใดในธุรกิจค้าปลีก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเมืองไทยจะมีมือบริหารธุรกิจค้าปลีกชั้นแนวหน้าหลายคน
มาจากตระกูลจิราธิวัฒน์
โดยเฉพาะการประกาศตัวจากกลุ่มนี้ที่จะยึดความเป็นหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกของเมืองไทย
ด้วยการร่วมมือกับรอยัล เอโฮลด์ จากเนเธอร์แลนด ์ เพื่อใช้ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นผู้บุกตลาดทางด้านนี้
บทบาทของการบุกตลาดของท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งบริหารโดยซีอาร์ซี. เอโฮลด์
จึงมีตัวจักรสำคัญอยู่ที่วัลยา จิราธิวัฒน์ ผู้หญิงคนเดียวของตระกูลจิราธิวัฒน์ที่มีบทบาทช่ำชองมากในด้านการบริหารซูเปอร์มาร์เก็ต
วัลยา จิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 2 ของตระกูลค้าปลีกของไทย เริ่มต้นเข้ามาในธุรกิจค้าปลีก
เพราะเหตุผลง่าย ๆ คือ ครอบครัวทำธุรกิจค้าปลีกมาแต่แรกในนามของกลุ่มเซ็นทรัลนั่นเอง
ถือได้ว่าวัลยา มีที่ฝึกงานด้านการค้ามาตั้งแต่เด็ก ในฐานะคนของตระกูล
ด้วยการใช้เวลาในช่วงวันหยุด กับการช่วยงานจิปาถะในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
ตั้งแต่ขายของ ห่อของขวัญ เป็นแคชเชียร์ เรียกได้ว่าสัมผัสกับธุรกิจค้าปลีกมาตั้งแต่เริ่มทำงานได้
"ทำมาตั้งแต่เล็ก สมัยเรียนชั้นประถมเป็นเด็ก ๆ ก็ช่วยขายขนม เฝ้า
Play Land เรียกได้ว่าคลุกคลีมาตลอดอายุ จนถึงวันนี้ก็ 35 ปี รู้หมดว่าในบริษัทมีอะไร
คนเก่าคนแก่ที่ทำงานอยู่กับเรารู้จักกันดี"
วัลยา มาเริ่มงานในห้างเซ็นทรัลอย่างจริงจังหลังเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ
จากมหาวิทยาลัยฮาร์ท ฟอร์ด มลรัฐคอนเนกติกัต สหรัฐอเมริกา โดยมารับตำแหน่งผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ต
สาขาสีลม เป็นตำแหน่งแรก ทำงานในตำแหน่งนี้ได้สักระยะ ก็ย้ายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
สุรา เทคโฮม เป็นตำแหน่งที่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
จน พ.ศ. 2532 จึงได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเต็มตัวในส่วนของซูปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมดของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
"ตอนเรียนจบ พี่ใหญ่คุณสัมฤทธิ์ ถามว่าถ้าให้ทำงานซูเปอร์มาร์เก็ตคิดว่าทำได้ไหม
พอตอบรับ คุณสัมฤทธิ์ ก็เลยบอกว่างั้นเริ่มเลยพรุ่งนี้ทำ"
เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงทุกคนชอบของสวย ๆ งามๆ แรกๆ วัลยาก็อยากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแฟชั่นที่ใกล้กับตัวผู้หญิง
ทำให้รู้สึกค่อนข้างเสียใจในตอนแรกที่ได้รับผิดชอบให้ดูทางด้านซูเปอร์มาร์เก็ต
เพราะถ้าบอกว่าตอนนั้นถ้าผู้ใหญ่ให้เลือกทำอะไรก็ได้ จะเลือกทำแฟชั่น
ไม่ใช่ทุกหนทางที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ วัลยา แม้จะเป็นคนในตระกูลจิราธิวัฒน์
แต่การทำงานทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
"พอเริ่มทำงาน ก็เจออุปสรรคค่อนข้างมาก ไม่ใช่ปัญหาในบริษัท แต่เป็นปัญหากับกลุ่มลูกค้าซัปพลายเออร์
ซึ่งวิธีการทำงานของซัปพลายเออร์ในตอนนั้น คือขายให้ได้มาก โดยไม่สนใจว่าผู้ซื้อจะขายได้หรือไม่
ทำให้เรากดดันมาก คนที่ติดต่อด้วยก็เป็นระดับเซลล์แมนที่มีจุดหมายว่าต้องขายของให้ได้
แล้วเขาก็มองว่าเราเป็นเด็กตอนนั้นอายุประมาณ 24 เวลาจะบอกให้เขาทำอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ"
อาจจะเรียกได้ว่าในยุคนั้น ยังไม่ใช่ยุคของเจ้าของพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งมีอำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์มากเท่าปัจจุบัน
เพราะการจำหน่ายสินค้าของซัปพลายเออร์สมัยก่อน ก็เน้นขายให้กับร้านขายของชำ
ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มากกว่าการขายให้ห้างสรรพสินค้าเหมือนสมัยนี้
ทำให้ยุคนั้นการที่ซัปพลายเออร์พยายามขายสินค้าให้กับเจ้าของพื้นที่ค้าปลีกมาก
ๆ ทำให้ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตต้องมาปวดหัวในเรื่องของการดูแลสต๊อกสินค้าอีกต่อหนึ่ง
เหมือนกับที่วัลยาเปรยว่า ในช่วงนั้นเหมือนกับต้องเก็บของให้กับพวกซัปพลายเออร์
"สมัยก่อนเป็นตลาดของแมนูแฟคจูเรอร์ พวกรีเทลเลอร์จะน้อยมาก พวกผู้ค้าจะขายให้ร้านชำ
ขายส่งเป็นหลัก พอเจอรูปแบบการทำงานแบบค้าปลีกก็ยังไม่เข้าใจ"
11 ปีหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ดีขึ้น เมื่อเรียกได้ว่าเจ้าของพื้นที่ค้าปลีกซึ่งมีการปรับตัวไปมาก
ทั้งการผลิตสินค้าไพรเวทเลเบล ภายใต้ยี่ห้อของผู้บริหารพื้นที่ค้าปลีก มีอำนาจต่อรองกับกลุ่มซัปพลายเออร์มากขึ้น
ทำให้แนวทางของซัปพลายเออร์ต้องเป็นฝ่ายปรับตัวตามผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเสียมากกว่า
"ตอนนี้โมเดอร์เทรด โตมากขึ้น รีเทลเลอร์ ก็โตมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่เป็นบริษัทอินเตอร์
จะรู้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตจะสำคัญมากในการใช้ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้า
ผิดกับสมัยก่อนที่ผู้ผลิตไม่สนใจรีเทลเลอร์"
ความที่ยอมทุ่มเทกับงาน และการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วัลยา จัดเป็นคนที่คล่องตัวในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตคนหนึ่งของเมืองไทย
ซึ่งยังมีอยู่เป็นจำนวนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่วัลยา
ถือเป็นคนเดียวที่ดูแลทางด้านนี้มาตลอด
"งานซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นงานหนัก การที่ผู้ใหญ่เลือกเรามาดูตั้งแต่แรก
คงเพราะมองจากบุคลิกลักษณะของเรา ว่าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง อยากให้คนอื่นเข้ามาทำบ้างเหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่มีเพราะคนอื่นๆ ในตระกูลก็กระจายกันดูแลในหน่วยอื่นๆ"
งานหนักที่ว่าของวัลยา ถ้าเป็นเรื่องของบริหารซูเปอร์ก็จะมีทั้ง เรื่องราคาขายสินค้าซึ่งจะมีการขึ้นลงตลอด
และผู้บริหารจะต้องคอยตรวจดูราคาขึ้นลง เพราะถ้าขายของผิดราคานิดหนึ่งก็ไม่ได้
จะขายสินค้าใหม่ก็ไม่ได้ สินค้าจะหายจากชั้นวางของก็ไม่ได้ เพราะงานขายเป็นงานที่หยุดไม่ได้
ทำให้การทำงานในธุรกิจนี้จึงหนัก แล้วส่วนใหญ่จึงมีแต่ผู้ชายที่เข้ามาทำ
แต่อย่างไรก็ตาม หากจะเปรียบปัญหาในเรื่องของการบริหารภายในแล้ว คงต้องเรียกได้ว่าเป็นปัญหาเล็กไปถนัดใจ
เพราะจากการประกาศว่าจะเป็นหนึ่งในธุรกิจนี้ของสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ดูแลกลุ่มซีอาร์ซี
ทั้งหมด คงจะต้องบอกว่าเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าปัญหาการบริหารงานภายในทั่วไปของซีอาร์ซี.เอโฮลด์เสียอีก
เพราะในฐานะผู้รับผิดชอบในส่วนของการบริหารซูเปอร์มาร์เก็ตของกลุ่มเซ็นทรัลมาตั้งแต่เริ่ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบที่มีมากขึ้นหลังจากได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ
ของบริษัท ซีอาร์ซี. เอ โฮลด์ จำกัด โดยการแต่งตั้งของสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2540 ที่ผ่านมา ทำให้วัลยาต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอในทุกๆ
ด้านรวมทั้งการตัดสินใจที่ฉับไว ซึ่งไม่ใช่ความพร้อมเฉพาะตัวแต่ต้องเป็นความพร้อมของทั้งองค์กร
เพื่อก้าวสู่ความเป็นหนึ่งตามที่กลุ่มตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้
แต่กระนั้นก็ดี คงจะเชื่อได้แน่ว่าสำหรับ วัลยา ประสบการณ์ที่สั่งสมมากับการบริหารซูเปอร์มาร์เก็ตโดยตรง
คงไม่ใช่เรื่องที่จะก้าวพลาดกันได้ง่าย ๆ