ภายหลัง บมจ. เงินทุนเอกธนกิจ ไฟแนนซ์ขนาดใหญ่อันดับ 1 ของเมืองไทยต้องซวนเซเนื่องจากปัญหาสภาพคล่อง
จนถึงขั้นต้องให้ บมจ. ธนาคารไทยทนุเข้าควบกิจการ กระแสข่าวลือเกี่ยวกับไฟแนนซ์มากมายเริ่มทยอยกันออกมาป่วนตลาด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 10 สถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับให้เพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน
เรื่อง บงล. ศรีมิตรเตรียมควบกิจการเช่นกัน บงล. ซิทก้าและพันธมิตรทั้ง 7
เตรียมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสนองนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย หวังได้ใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์
ล่าสุด บงล. จีเอฟ (GF) ไฟแนนซ์อันดับ 8 ของไทยก็ตกเป็นข่าวอีกเช่นกันว่าจะจับมือกับ
บง. จีซีเอ็น บริษัทในเครือเพื่อผนวกกิจการกับธนาคารจีเอฟ ซึ่ง GF ถือหุ้นอยู่
5% ของทุนจดทะเบียน 7,500 ล้านบาท และเป็นแกนนำในการจัดตั้ง เนื่องจากปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่อง
และหนี้เสียจากการปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก
งานนี้เล่นเอาผู้บริหารของ GF เรียงหน้าออกมาปฏิเสธข่าวลือกันยกใหญ่ โดย
ม.ร.ว. สุชาติจันทร์ ประวิตร กรรมการผู้อำนวยการนำทีมเปิดแถลงข่าวด่วนว่า
"ฐานะทางการเงินของจีเอฟในขณะนี้ยังแข็งแรงดีไม่มีปัญหา และขณะนี้ก็ยังไม่มีการยื่นหนังสือต่อทางการในเรื่องควบกิจการดังที่เป็นข่าว
ทั้งยังไม่เคยมีแนวคิดที่จะดำเนินการด้วย"
ม.ร.ว. สุชาติจันทร์ ให้เหตุผลว่า จีเอฟเป็นไฟแนนซ์ขนาดใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องควบกิจการกับจีซีเอ็นซึ่งเป็นไฟแนนซ์ขนาดเล็ก
เพราะหากจีเอฟมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องจริงจีซีเอ็นก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
ดร. อัจนา ไวความดี กรรมการผู้จัดการกลุ่มวิจัยและวางแผนของจีเอฟยังมีสุขภาพดี
จากผลประกอบการประจำปี 2539 จีเอฟมีการปล่อยกู้ทั้งสิ้น 55,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
22,000 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์
(Margin loans) 13-14% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 1% ที่เหลือเป็นสินเชื่อในภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
เหตุที่สินเชื่อเช้าซื้อรถยนต์มีสัดส่วนเพียง 1% เนื่องจากบริษัทได้มีการโอนพอร์ตเช่าซื้อรถยนต์ทั้งหมดไปให้บริษัทจีเอสซีซี
ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท จีอี แคปปิตอล โดยจีเอฟถือหุ้นอยู่ 10% ของทุนจดทะเบียน
อย่างไรก็ดีสินเชื่อที่ปล่อยให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 22,000 ล้านบาทนั้น
ดูจะเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากมีบริษัททางด้านอสังหาฯ หลายแห่งไม่สามารถชำระดอกเบี้ยแก่จีเอฟได้ตามกำหนด
ณ สิ้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาจีเอฟมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing
loans) ถึง 3,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด 55,000
ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อต่ำกว่ามาตรฐาน 1,600 ล้านบาท และเป็นหนี้สงสัยจะสูญอีก
1,700 ล้านบาท ซึ่งในส่วนหนี้มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ประมาณ 1,200 ล้านบาท
"บริษัทต้องทำการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 600 ล้านบาท แต่ขณะนี้บริษัทตั้งสำรองไว้ถึง
925 ล้านบาท หรือคิดเป็น 125% ซึ่งเป็นการตั้งสำรองสูงกว่าเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนด"
ดร. อัจนา กล่าว
สำหรับเรื่องที่จีเอฟจะมีการควบกิจการกับบริษัทในเครือและธนาคารจีเอฟนั้น
เธอกล่าวปฏิเสธว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น และกลุ่มจีเอฟก็มีนโยบายที่จะทำธุรกิจการเงินให้ครบวงจร
เพื่อเอื้อประโยชน์กันภายในกลุ่มมากกว่าการควบกิจการกันตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจุบันกลุ่มจีเอฟมีธุรกิจในเครือมากมายทั้งส่วนที่เป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
บริษัทจัดการกองทุนรวม บริษัทลิสซิ่ง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย ส่วนบริษัทประกันชีวิตกำลังอยู่ระหว่างการรออนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์
ปัญหาเรื่องสภาพคล่องอันสืบเนื่องมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเช่าซื้อรถยนต์นั้นส่งผลกระทบต่อไฟแนนซ์หลายแห่ง
จีเอฟอาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในฐานะที่เป็นไฟแนนซ์ขนาดใหญ่ และมีการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ดีในปี 2540 นี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
พร้อมทั้งปรับลดสัดส่วนขนาดของสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ลง และพยายามลดดอกเบี้ยค้างรับ
โดยการส่งทีมงานเข้าไปช่วยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องการขายโครงการ
นอกจากนี้สิ่งที่ ม.ร.ว. สุชาติจันทร์ ให้ความสำคัญมากก็คือเรื่องของการปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง
โดยจะมีการเกลี่ยพนักงานของจีเอฟไปยังธนาคารจีเอฟและบริษัทในกลุ่มจีเอฟ
"คนของเรามีเยอะเพราะเตรียมไว้เพื่อแยก บง. บล. แต่ตอนนี้นโยบายของเราคือไม่แยกเพราะไม่ได้ประโยชน์นัก
เราก็เลยจะพิจารณาเกลี่ยพนักงานไปให้เหมาะสม ฝ่ายไหนอ้วนไปผอมไป ก็เกลี่ยให้เหมาะสม
และเปิดโอกาสให้เขาไปสมัครงานในธนาคารจีเอฟได้ หากคุณสมบัติไม่ตรงกับที่ธนาคารต้องการ
เช่น ไม่ตรงกับสายงานที่ธนาคารต้องการ เขาก็อยู่กับเราต่อไปได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ"
ม.ร.ว. สุชาติจันทร์ยกตัวอย่าง
แผนการลดพนักงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้จีเอฟกำลังดำเนินการอยู่ภายใต้การดูแลของ
ดร. อัจนา รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จีเอฟมีการจูงใจให้พนักงานช่วยกันหาเงินฝากเข้ามา
โดยมีการให้รางวัล และนำผลงานนี้ไปประกอบการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปี
จากผลประกอบการในปี 2539 เมื่อเทียบกับปี 2538 พบว่าจีเอฟมีกำไรสุทธิลดลงประมาณ
14% กล่าวคือลดลงจาก 641.3 ล้านบาทในปี 2538 เหลือ 548 ล้านบาทในปี 2539
นับว่าผลประกอบการตกต่ำลงบ้าง แต่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดีสำหรับปีนี้ ม.ร.ว. สุชาติจันทร์ตั้งเป้าเพียงว่า ขอแค่รักษาระดับกำไรสุทธิให้ได้เท่ากับปีที่ผ่านมาก็พอ
ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ธุรกิจย่ำแย่อย่างนี้ขอแค่นี้ก็พอ