|
"เอไอเอส" ประกาศลงทุนปีจอ 1.6 หมื่นล้าน เน้นระบบ 3G
ผู้จัดการรายวัน(9 ธันวาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
เอไอเอสประกาศเม็ดเงินลงทุนปีหน้า 1.6 หมื่นล้าน แบ่งเป็นเน็ตเวิร์ก 3G 8 พันล้าน หากได้ไลเซนส์จาก กทช.พร้อมบริการภายใน 3-4 เดือน ชูวิชันปี 2549 เป็น Industry Convergence ด้วยเป้าหมายขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีก 1.3 ล้านราย หรือเป็น 17.3 ล้านราย
นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสหรือเอไอเอสกล่าวว่า เอไอเอสจะใช้เงินลงทุนในปี 2549 ประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งคือ 200 ล้านเหรียญหรือประมาณ 8 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนหากได้ใบอนุญาตให้บริการโทรศัพท์มือถือในระบบ 3G จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของเครือข่ายในปัจจุบันและการพัฒนาบริการต่างๆ
หากเอไอเอสได้ไลเซนส์ 3G ก็พร้อมให้บริการหลังจากนั้น 3-4 เดือน
"เอไอเอสมีแผนเบื้องต้นสำหรับ 3G คือต้องสร้างเน็ตเวิร์กใหม่วางทับซ้อนในบริเวณที่เป็นเน็ตเวิร์ก 2G ที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการใช้งานหนาแน่น และผู้ใช้บริการต้องการใช้บริการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ย่านใจกลางกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ อย่างเชียงใหม่ และหาดใหญ่ ส่วนการให้บริการลูกค้าสามารถใช้ได้โดยไม่เกิดการสะดุด เพราะจะเป็นการโรมมิ่งระหว่างเครือข่ายที่มีอยู่ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการมากกว่าเมื่อครั้งเปลี่ยนจากระบบอนาล็อกมาเป็นดิจิตอล เนื่องจากปัจจุบันโทรศัพท์มือถือรองรับทั้งระบบ 2G และ 3G ภายในเครื่องเดียวกัน "
เป็นเวลาที่เหมาะสมของการให้บริการ 3G ในประเทศซึ่งพอดีกับกทช.จะประกาศหลักเกณฑ์ไลเซนส์ 3G ภายในปีนี้
เขาย้ำว่าเงินลงทุน 400 ล้านเหรียญ อยู่ในระดับที่เอไอเอสสามารถหาแหล่งเงินทุนได้ โดยไม่จำเป็นต้องหาพาร์ตเนอร์ต่างชาติใหม่หรือเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของพาร์ตเนอร์ต่างชาติรวมทั้งไม่ต้องขายบางส่วนของเอไอเอส
"ผมยืนยันว่าไม่มีการหาพาร์ตเนอร์ต่างชาติใหม่ และไม่มีการเพิ่มสัดส่วนของพาร์ตเนอร์เดิม เพราะทุกวันนี้ต่างชาติถือเต็มเพดาน 49% แล้ว"
นายสมประสงค์กล่าวว่า วิชันปี 2549 ของเอไอเอสจะชูแนวคิด Industry Convergence หรือการบรรจบและหลอมรวมกันของหลายๆ อุตสาหกรรมในการให้บริการ โดยที่ Industry Convergence จะเกิดได้จากการรวมตัวของ 3 สิ่งคือ 1.Device Convergence หรือการที่อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งสามารถทำงานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล พ็อกเกตพีซี 2.Technology Convergence โดยเฉพาะการบรรจบรวมกันระหว่างเทเลคอมเน็ตเวิร์กกับคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก ทำให้เกิดไอพีเน็ตเวิร์ก และ 3.Service/Application Convergence ที่เป็นผลจากเน็ตเวิร์กที่สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากขึ้นทำให้เกิดบริการหรือแอปพลิเคชันในรูปแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบและหลากหลาย
"ไอพีเน็ตเวิร์กเหมือนกระแสเลือดในร่างกาย บริการก็เหมือนอวัยวะต่างๆ แขนขา ซึ่งผู้ใช้ก็คือสมอง สามารถใช้บริการต่างๆ ผ่านเครื่องมือที่มีอยู่ บริการที่เห็นได้ชัดคือบริการเอ็มเปย์"
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการผู้อำนวยการเอไอเอสกล่าวถึงทิศทางการตลาดในปีหน้าว่าเอไอเอสจะมีลูกค้าเพิ่มจาก 16 ล้านรายเป็น 17.3 ล้านรายหรือเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านราย โดยที่ตลาดรวมจะมีประชากรมือถือเพิ่มจาก 48% เป็น 53% หรือตลาดรวมเติบโตจาก 30 ล้านเป็น 32 ล้านรายหรือโตขึ้น 7%
"เอไอเอสจะเติบโตผ่านตลาดใหม่ในระดับรากหญ้าหรือต่างจังหวัดที่มีความเข้มแข็งด้านเน็ตเวิร์ก และการเน้นเรื่องเซกเมนเตชันให้มีความชัดเจนมากขึ้น" ในด้านการตลาดเอไอเอสจะให้ความสำคัญ 4 ด้านคือ
1. การสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกและมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานแก่ผู้ใช้บริการ
2. การสร้างตลาดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุ่งนำบริการถึงมือประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ห่างไกลรวมไปถึงกลุ่มที่ยังไม่เคยใช้บริการ (New Market Creation)
3. บริการเสริมที่ต้องง่ายและเป็นประโยชน์แก่ลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปสู่การพัฒนาบริการเสริม 3G และ
4. โซลูชันที่ออกแบบเฉพาะเพื่อองค์กรในแต่ละสายธุรกิจ ที่ต้องสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ ตอบโจทย์ในเชิงการบริหารงานอย่างแท้จริง (Enterprise Solutions) โดยที่การให้บริการโซลูชันลูกค้าองค์กร หรือ SME ต้องมองทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยเฉพาะแนวตั้งจะต้องมองบริการที่จะให้ถึงระดับ Value Chain ของลูกค้าแต่ละกลุ่มด้วย
ด้านนางอาภัททรา ศฤงคารินกุล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานพัฒนาโซลูชันกล่าวว่าในปีหน้าเทคโนโลยีที่เอไอเอสเลือกใช้ประกอบด้วย 1. Multi Service Network ที่เชื่อมโยงทุกเน็ตเวิร์กเข้าด้วยกันทั้งฟิกซ์ไลน์และไวร์เลส 2. DRM หรือ Digital Right Management เพื่อสร้างความมั่นใจให้คอนเทนต์พาร์ตเนอร์ 3. Contactless Communication เช่น ใช้สำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินหรือการเช็กสต๊อกสินค้าคงคลัง และ 4. เทคโนโลยี 3G
นายสมประสงค์กล่าวสรุปว่าสำหรับการแข่งขันในปีหน้าเชื่อว่าจะมีการแข่งขันที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่ปรัชญาจะเหมือนเดิม เกมจะเปลี่ยนไป เกมเดิมๆ ที่เล่นเรื่องราคาจะลดความสำคัญลง แต่จะหันไปหาบริการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ส่วนกรณีการแข่งขันกับโอเปอเรเตอร์ต่างชาติ อย่างเทเลนอร์ที่ถือหุ้นในดีแทคนั้น เขาเชื่อว่า เอไอเอสสามารถแข่งขันได้ ใน 3 ประเด็น คือสายป่านยาว ซึ่งเอไอเอสมั่นใจว่าเครดิตเรตติ้งของบริษัทจะช่วยทำให้สามารถหาแหล่งเงินทุนหรือแหล่งเงินกู้ได้ไม่ยาก, ในเรื่องเทคโนโลยี เอไอเอสมั่นใจว่าก้าวทันเทคโนโลยี ส่วนการเลือกเทคโนโลยีนั้นก็มีนายวิกรม ศรีประทักษ์ CTO มารับผิดชอบในเรื่องนี้แล้ว และประเด็นสุดท้ายคือระบบบริหารจัดการหรือ Management System ที่ดี ซึ่งทำให้มั่นใจว่าสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|