นับแต่อดีตมา บมจ. นำสินประกันภัยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านประกันรถยนต์ที่มีชื่อเสียงบริษัทหนึ่ง
แม้ในปัจจุบันชื่อเสียงทางด้านนี้ก็ไม่ได้เสื่อมคลายลง
แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ผู้บริหารซึ่งนำทีมโดย ธานี เจริญชัยพงศ์
มีนโยบายหันมาเน้นธุรกิจทางด้านรับประกันอัคคีภัยมากขึ้น ทั้งนี้เหตุผลที่ให้มาตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนมาใช้นโยบายใหม่คือ
เนื่องจากการแข่งขันด้านรถยนต์มีค่อนข้างมากถึงขั้นดุเดือด เพราะนอกจากกลยุทธ์การตัดราคาที่หลายบริษัทนำมาใช้แล้ว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การใช้เทคนิคที่นอกลู่นอกทางหรือบางครั้งอาจผิดกฎหมายด้วย
นอกจากนี้เหตุผลอีกประการที่ทำให้นำสินฯ หันมาสนใจตลาดประกันอัคคีภัยมากขึ้น
เพราะบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือไอเอฟซีที หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ช่วยส่งลูกค้ามาให้ซึ่งถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นำสินฯ
หันมามองตลาดนี้อย่างจริงจัง นอกเหนือจากปัจจัยเสริมที่มาจากตัวตลาดธุรกิจอัคคีภัยเองที่ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ในช่วงนี้
ลูกค้าที่ส่งมาจากบรรษัทฯ นั้นส่วนใหญ่เป็นลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดกลาง ซึ่งธานีกล่าวว่ากลุ่มลูกค้าขนาดกลางนี้ถือเป็นกลุ่มหลักของธุรกิจอัคคีภัยทีเดียว
โดยเบี้ยประกันของลูกค้ากลุ่มนี้จะอยู่ในช่วง 20-200 ล้านบาท ทั้งนี้ นอกจากลูกค้าจากบรรษัทฯ
แล้วนำสินฯ ก็ยังมีลูกค้าจากส่วนอื่นด้วยเช่นกัน อาทิ บริษัทธุรกิจเอกชนทั่วไป
รวมทั้งลูกค้ารายย่อยก็ยังมีเข้ามาอยู่เป็นระยะ
ส่วนลูกค้ารายใหญ่ในธุรกิจนี้ของนำสินมีไม่มากนัก ซึ่งปกติบริษัทจะไม่รับประกันเพียงผู้เดียวแต่จะรับประกันร่วมกับบริษัทประกันอื่นด้วย
โดยลูกค้ารายใหญ่นี้มีทั้งที่เป็นกลุ่มตึกสูง และลูกค้าอุตสาหกรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีมากในลูกค้าอุตสาหกรรม
เพราะเป็นลูกค้าที่ส่งมาจากบรรษัทฯ เช่นกัน
เหตุที่นำสินได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทฯ เป็นอย่างดีนั้น เนื่องจากบรรษัทฯ
ถือหุ้นอยู่ประมาณ 17% นอกจากนี้ในการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นมักมีวงเงินที่สูงซึ่งทำให้บรรษัทฯ
มีความเสี่ยงสูงถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ขอกู้และผู้ให้กู้ บรรษัทฯ จึงแนะนำให้ลูกค้าของตนทำประกันความเสียหายต่าง
ๆ ไว้ด้วย เมื่อลูกค้ามาถึงนำสินฯ แล้วส่วนใหญ่จะได้รับการแนะนำให้ประกันความเสียหายแล้วลูกค้าจะได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันเต็มวงเงินเช่นกัน
การทำเช่นนี้เป็นการประกันความเสี่ยงของผู้ให้กู้คือบรรษัทฯ ในขณะเดียวกันก็เป็นรายได้ของนำสินที่สูงขึ้นเช่นกัน
เห็นได้จากยอดเบี้ยประกันในส่วนนี้มีการเติบโตขึ้นโดยลำดับนับตั้งแต่ปี'
38 ที่มีการเน้นทางด้านอัคคีภัย บริษัทมียอดเบี้ยประกันในส่วนนี้อยู่ถึง
61.29 ล้านบาท ซึ่งโตจากปี' 37 ถึง 40.73% (ดูตารางประกอบ)
ในปี' 39 เบี้ยประกันอัคคีภัยยังโตอย่างต่อเนื่องถึง 35.05% โดยมียอดเบี้ยประกัน
82.77 ล้านบาท สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดเบี้ยประกันไว้ที่ 153 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นถึง 63.11%
ธานีกล่าวอย่างพอใจว่า 2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจในส่วนอัคคีภัยของบริษัทโตกว่าตลาดมาตลอด
ในปีนี้บริษัทก็ตั้งเป้าไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
อัตราการเติบโตดังกล่าวทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทที่เคยอยู่ในอันดับ 30-40
ในขณะที่มีบริษัทที่ทำธุรกิจนี้อยู่ถึงกว่า 60 บริษัท มาบัดนี้บริษัทได้ไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่
20 กว่า ๆ คาดว่าถ้าปีนี้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้นำสินฯ คงขึ้นไปได้ถึงระดับ
1 ใน 15 บริษัทแรกที่ครองส่วนแบ่งในธุรกิจอัคคีภัย และเมื่อถึงจุดนั้นธานีคิดว่าคงจะลดระดับการเติบโตมาให้เท่ากับการเติบโตของตลาดโดยรวม
และคงไว้เช่นนั้นสำหรับปี' 41 และปีต่อ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดประกันรถยนต์จะมีการแข่งขันกันมากก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่
เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่กว่า 80% ของบริษัทยังมาจากตลาดรถยนต์ แม้ว่าในปี'
38 จะมีเบี้ยประกันส่วนนี้เพียง 696.36 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี'
37 แต่ในปี' 39 ที่ผ่านมารายได้ในส่วนนี้กระเตื้องขึ้นมาถึง 818.77 ล้านบาท
หรือโตประมาณ 17.58% ส่วนปีหน้าบริษัทคาดว่ารายได้ส่วนนี้น่าจะเข้ามาประมาณ
895 ล้านบาท โดยเติบโตจากปี' 39 ประมาณ 9.31%
จากยอดเบี้ยประกันรถยนต์จะเห็นว่าในปี' 38 รายได้ในส่วนนี้ของบริษัทลดลงแม้จะไม่มากแต่เหมือนเป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้นำสินฯ
ต้องตัดสินใจหันไปหาแหล่งรายได้เสริมจากธุรกิจประกันอัคคีภัยอย่างจริงจัง
เพราะการประกันรถยนต์ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัทนั้นมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ
จนสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นชัดเจนขึ้นในปี' 38 ดังกล่าวแล้ว
ธานียอมรับว่าจากการแข่งขันทั้งในเรื่องการตัดราคาและเลยเถิดไปจนออกนอกลู่นอกทางนั้น
ทำให้บริษัทของเขาไม่สามารถที่จะเข้าไปแข่งขันด้วยได้ "ยอดขายรถยนต์ทั้งตลาดในรอบ
3-4 ปีที่ผ่านมาโตประมาณ 20-30% แต่ของเราจะช้ากว่าตลาด เพราะหลายครั้งเราแข่งกับเขาไม่ได้ในเรื่องราคา"
อย่างไรก็ตาม ในส่วนเบี้ยประกันรถยนต์ที่เติบโตขึ้นมามากในปี' 39 และที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้นั้น
ธานีกล่าวว่าเป็นการโตตามกลไกปกติจากลูกค้าเดิมที่ยังต่ออายุประกันกับบริษัทอยู่
เพราะในส่วนการหาลูกค้าเพิ่มนั้นขณะนี้บริษัทยังไม่ได้เน้นถ้าตลาดยังแข่งขันกันอยู่ในลักษณะเดิม
ๆ
แม้ว่าจะแข่งขันในเรื่องราคาไม่ได้ แต่ธานีมั่นใจว่า "เราสามารถแข่งกับทุกคนได้ในเรื่องของการบริการ
ความมั่นคง และความสุจริต"
พนักงานของนำสินฯ จะได้รับการอบรมและเน้นย้ำอยู่เสมอว่า ต้องพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เร็วที่สุด
จนเป็นสโลแกนที่พนักงานจำขึ้นใจว่า "มั่นคงในสัญญา ซื่อตรงในบริการ"
ทั้งนี้หลักการของนำสินคือ การจ่ายตามความเป็นจริง จ่ายตามความเสียหาย
และจ่ายให้ยุติธรรม ทำให้พนักงานต้องทำตัวเป็นกลางที่สุดโดยที่ไม่เข้าข้างทั้งบริษัท
และลูกค้าเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง
ดังนั้นธานีจึงยืนยันว่า งานที่ออกมาแต่ละครั้งจะไม่ค่อยมีปัญหา จำนวนครั้งที่นำสินแป็นคู่กรณีต้องขึ้นศาลก็น้อยที่สุดในวงการรถยนต์ด้วยกัน
"เรามีคดีขึ้นศาลเพียง 0.1-0.2% เท่านั้น" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่กรณีกับบริษัทไปฟ้องกันเองแต่ลูกค้ากับบริษัทจะไม่มี
นอกจากนี้ ในความสม่ำเสมอของนำสินฯ ยังเป็นที่ยอมรับของบรรดาอู่ซ่อมรถต่าง
ๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากนำสินฯ ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทหนึ่งที่ไม่มีปัญหาในเรื่องการจ่ายค่าจ้างซ่อมช้า
ดังนั้นปัจจุบันจึงมีอู่ประจำที่รับซ่อมให้กับนำสินอยู่ประมาณ 17-18 และอีก
40-50 อู่ที่แม้จะไม่ได้เป็นอู่ประจำแต่เมื่อใดที่เป็นรถในความดูแลของนำสินเข้าไปอู่เหล่านี้ก็รับซ่อมแน่นอน
ทั้งนี้ ด้วยความสม่ำเสมอของการจ่ายค่าซ่อมบวกกับความสามารถในการประเมินราคา
และลดช่องโหว่การรั่วไหล ทำให้นำสินฯ จ่ายค่าจ้างซ่อมที่ถูกกว่าบริษัทประกันอื่นถึง
10-15% หรือบางครั้งอาจจะถึง 20% ด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งนี้ธานีย้ำว่าขึ้นกับการวิเคราะห
์และประเมินราคา รวมทั้งควบคุมการซ่อมเป็นสำคัญ
อีกกลยุทธ์หนึ่งที่เขาใช้มัดใจลูกค้าและเป็นความสะดวกในการทำงานด้วยคือการลงทุนซื้อสลากออมสินจำนวน
8-9 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในกรณีที่ลูกค้าของนำสินฯ
ถูกจับกุมตัว ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนี้เริ่มมาตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ปีที่แล้ว
และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย "ตำรวจชอบเพราะเขาทำงานได้เร็วไม่ยุ่งยากเหมือนใช้พันธบัตรรัฐบาล
ลูกค้าก็พอใจเพราะเขาได้ประกันตัวอย่างรวดเร็ว"
เหตุที่เขาหันมาทดลองใช้สลากออมสิน เนื่องจากปกติเมื่อมีกรณีที่ลูกค้าถูกจับกุมและต้องมีการประกันตัวออกมานั้น
บริษัทจะใช้เงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ที่ผ่านมาบางครั้งบริษัทจะมีปัญหาในเรื่องการสำรองเงินสดไม่เพียงพอโดยเฉพาะในวันหยุด
นอกจากนี้กรณีใช้พันธบัตรรัฐบาลจะมีความยุ่งยากขึ้นไปอีกเนื่องจากต้องมีหนังสือรับรอง
ดังนั้นบริษัทจึงหันมาใช้สลากออมสินแทน เนื่องจากใช้ได้สะดวกและเป็นที่ยอมรับของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
"แม้ดอกเบี้ยจะต่ำเพียง 3-5% แต่วัตถุประสงค์ที่เราซื้อไปเพื่อการบริการลูกค้าเป็นหลัก
แต่ก็วัดดวงว่าถ้าถูกรางวัลมูลค่าก็สูงขึ้น แต่เราซื้อเยอะ ปกติจึงถูกรางวัลเลขท้ายเป็นประจำเกือบทุกงวดอยู่แล้ว"
จากการบริการที่ถือเป็นจุดแข็งของนำสินฯ รวมทั้งรายได้เสริมอย่างอัคคีภัยและกลยุทธ์ใหม่ที่พยายามพัฒนานับเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความแข็งแกร่งของนำสินฯ
ได้เป็นอย่างดี ธานีเชื่อว่าในอนาคตเมื่อกระแสการค้าเสรีเข้ามามากขึ้น คนที่ไม่แกร่งจริง
ๆ ย่อมจะแพ้ลงไป และเมื่อถึงจุดหนึ่งทุกคนจะกลับไปหาจุดเดิม คือการทำธุรกิจที่อาศัยความเชี่ยวชาญพาะทาง
(Specialization) อีกครั้งเหมือนในอดีต
ดังนั้นในการทำธุรกิจของนำสินฯ นั้นแม้ว่าช่วง 2-3 ปีนี้จะเน้นหนักทางด้านอัคคีภัย
แต่ในช่วงต่อจากนี้เมื่อรายได้จากอัคคีภัยอยู่ตัวแล้ว นำสินประกันภัยอาจจะกลับมารุกทางด้านตลาดรถยนต์อีกครั้งเนื่องจากยังมีจุดแข็งในเรื่องการบริการ
และหากบริษัทมุ่งที่จะสู้ในเรื่องของราคาบ้าง นำสินฯ คงกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวรายหนึ่งของบริษัทประกันรายอื่น
ๆ มิใช่น้อย แต่อย่างไรเสียธานีอาจจะต้องเสริมเขี้ยวเล็บสักเล็กน้อยเพื่อที่จะต่อสู่กับคู่แข่งที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า
"ออกนอกลู่นอกทาง"