"สคิบเข้าถือหุ้น บล. คาเธ่ย์ฯ งานนี้เฟรนด์ลีจริง


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

"Welcome to our group"

วลีต้อนรับปนเสียงหัวเราะอย่างยินดีและเป็นกันเองของ ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ. นครหลวงไทย ถูกกล่าวขึ้นหลังจากพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการเข้าร่วมทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ คาเธ่ย์ แคปิตอล

แน่นอนการร่วมทุนกันครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่าง "พันธมิตรทางธุรกิจ" โดยแท้เพราะมิใช่เพียงคำกล่าวลอย ๆ เท่านั้น สิ่งที่ทำให้น่าเชื่ออีกประการคือบรรยากาศภายในงานเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่เป็นไปอย่างชื่นมื่น รวมทั้งเป้าหมายที่วางไว้อย่างเด่นชัดของคาเธ่ย์ แคปปิตอลเองด้วย

การหาผู้ร่วมทุนจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเป็นแผนงานที่คาเธ่ย์ แคปปิตอลวางไว้เป็นอันดับแรกสำหรับภารกิจในปี' 40 นี้ หลังจากที่แยกธุรกิจหลักทรัพย์ออกมาจาก บงล. คาเธ่ย์ ทรัสต์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ในการร่วมทุนกับ ธ. นครหลวงไทย จะมีผลบังคับจริงในเดือนกรกฎาคม เพราะตามกฎ ก.ล.ต. ระบุว่า หลังจากแยกกิจการแล้วต้องดำเนินงานไปแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนจึงจะหาผู้ร่วมทุนอื่นได้

ดร. สมกล่าวในช่วงเปิดงานว่า "การร่วมทุนครั้งนี้ค่อนข้าง simple" เพราะ บล. คาเธ่ย์ แคปปิตอล นั้นเป็นบริษัทลูกของ บงล. คาเธ่ย์ ทรัสต์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เนื่องจากผู้ถือหุ้นก็คือผู้ถือหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยด้วยเช่นกัน และในด้านการดำเนินกิจการเอง ทั้งคาเธ่ย์ ทรัสต์และธนาคารฯ ก็ทำธุรกิจด้วยกันมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้กลุ่มผู้เป็นเจ้าของคือตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง พานิชชีวะ และเตชะสมบัติก็ได้รับความเคารพรักใคร่จากผู้บริหารของธนาคารฯ ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามการที่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างนี้ ดร. สม กล่าวว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่รักใคร่แนบแน่นนั้นให้กระชับแนบแน่นขึ้นไปอีก เพราะเขาเชื่อเหลือเกินว่า "ด้วยความรักและความเป็นกันเองของเรา คงจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า บล. คาเธ่ย์ แคปปิตอลจะมีอนาคตที่สดใสแน่นอน"

ธ. นครหลวงไทยจะเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 9% ของทุนจดทะเบียน ซึ่ง ดร. สมได้ให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า "เพื่อไม่ต้องไปทำเรื่องขอจากทางแบงก์ชาติ" เพราะเป็นอัตราที่ยังไม่ถึง 10% ตามกฎที่แบงก์ชาติกำหนดไว้

แม้ว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนักแต่สมบัติ พานิชชีวะในฐานะตัวแทนของ บล. คาเธ่ย์ กล่าวว่า "ความหมายนั้นยิ่งใหญ่กว่าสัดส่วนที่ถือมากมายนัก" และดูเหมือนการร่วมทุนกันครั้งนี้จะเป็นความหวังของชาวคาเธ่ย์ แคปปิตอลอยู่มากทีเดียว ดังคำที่สมบัติกล่าวกับผู้บริหารของธนาคารฯ "ผมขอฝากคาเธ่ย์ แคปปิตอลไว้กับท่านทั้งหลายด้วย ยังไงก็ช่วยอุ้มชูชี้แนะ และช่วยทำให้สถาบันนี้แข็งแกร่งและมั่นคง"

สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายตระหนักดีคือ ธ. นครหลวงไทยนั้น มีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจด้านนี้อยู่แล้ว ได้แก่ บงล. นครหลวงเครดิต ซึ่งในเรื่องนี้ ดร. สมกล่าวอย่างมั่นใจว่าการทำงานปกติอาจจะมีการแข่งขันกันบ้างโดยไม่รู้ตัว แต่ในเชิงกรอบใหญ่แล้วจะร่วมมือกันหรือแม้กระทั่งแบ่งงานทำด้วยกัน เช่น ไปได้ดีลด้วยกัน หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ

"ไปด้วยกันได้ไม่ยาก ถ้าเรามองทุก ๆ อย่างในเชิง Healthy และอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่เราเวลาประสานกัน อย่าให้มีความลำเอียงหรือไปยุให้คนแตกกัน" ดร. สมกล่าว

สำหรับ บล. คาเธ่ย์ แคปปิตอลนั้นถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อแยกธุรกิจหลักทรัพย์มาจาก บงล. คาเธ่ย์ ทรัสต์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2540 โดยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 600 ล้านบาท มีศิริมา พานิชชีวะ ที่ได้รับความไว้วางใจให้มาดูแลกิจการของตระกูล มานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ และต่อไปคงได้เห็นหน้าค่าตาของเธอมากขึ้น เพราะปกติเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวชอบทำงานอย่างเดียว

ศิริมาไม่ได้มาคนเดียว เพราะได้มือดีมาร่วมงานถึงสองคนคือ ธนาธิป วิทยะสิรินันท์ มาเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจฯ และคนที่สองคือ กอบเกียรติ บุญธีรวร เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกิจการนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ซึ่งช่วงต้นดูทั้งกิจการในประเทศและรักษาการกิจการต่างประเทศด้วย เพราะกำลังหาคนมาเสริมทีมอยู่

สำหรับแผนงานปี' 40 นอกเหนือจากงานหาผู้ร่วมทุนแล้ว หน้าที่หลักอีกประการคือการขยายฐานลูกค้าและสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งธุรกิจใหม่ที่ทางบริษัทสนใจในขณะนี้เป็นธุรกิจเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ วาณิชธนกิจ และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งอย่างหลังนี้เตรียมยื่นขอใบอนุญาตให้ทันภายในไตรมาสแรก

หลังจากกรณีร่วมทุนกับ ธ. นครหลวงไทยซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวระลอกแรกที่เข้ามาแล้ว ขณะนี้ บล. คาเธ่ย์ฯ ก็กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับสถาบันการเงินต่างชาติที่สนใจเข้ามาถือหุ้นด้วยเหมือนกัน คาดว่าในชั้นแรกอาจจะเปิดให้เข้ามาถือหุ้นได้ถึง 30% ทั้งนี้ขึ้นกับการตกลงกัน

ดังนั้นในปีนี้การเพิ่มทุนหรือเปิดให้สถาบันการเงินเข้ามาถือหุ้นของบริษัทจะมีให้เห็นอีกแน่เพื่อเป็นการรองรับงานที่จะเข้ามาในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การจะมองว่าบริษัทอยู่ตรงไหนในอนาคตนั้น ธนาธิปมองว่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน อาทิ ทางด้านมาร์จิน รวมทั้งขนาดของพอร์ตหุ้นกู้

"เอาง่าย ๆ อย่าง covered warrant ร่างกฎระเบียบที่ทางการกำลังดูอยู่ กำหนดส่วนของผู้ถือหุ้นมูลค่าขั้นต่ำพันล้านบาท ถ้าจะทำธุรกิจตราสารอนุพันธ์ซึ่งเราก็ทำแน่นอนเพียงแต่ว่าเวลาไหนเท่านั้นเอง แต่คิดว่าสำหรับบริษัทหลักทรัพย์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ถ้าจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่อย่างที่เราอยากจะเป็น ผมว่าต้องมีขนาด 1,500 ล้านบาทขึ้นไป" ธนาธิปกล่าว

แต่ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้การจะทำอะไรก็ตามทีมงานยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ยากกว่าตอนที่เศรษฐกิจดี ซึ่งในมุมมองของศิริมาเองก็ยอมรับว่าเป็นความยากในการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในการดำเนินงาน

"เพราะเราหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ นี่คือธรรมชาติของธุรกิจ เราจะต้องขยายแต่จะขยายอย่างไรให้ผลประกอบการออกมาดีด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นศิลปะในการที่เราจะสร้างสมดุลให้เกิดตรงนี้ให้ได้" สิริมากล่าว

"แต่ธุรกิจที่เราขยายไปนี้เราพยายามไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นตรงกับตลาดหุ้น คือส่วนหนึ่งธุรกิจขึ้นกับตลาดหุ้นอยู่แล้วและกระทบแน่นอน แต่อย่างพอร์ตหุ้นนี้เดิมเรามีอยู่เหมือนกัน แต่ขนาดไม่ใหญ่นัก เมื่อเห็นว่าภาวะไม่ดีและทุกคนก็เจ็บหมด ปีที่แล้วประมาณกลางปีเราก็มีนโยบายขายทิ้ง และตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เล่นอีก" ธนาธิปกล่าวเสริม

คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ คาเธ่ย์ แคปปิตอลน่าจะมีกำไรออกมาให้เห็นได้ไม่ยาก เพราะการปรับตัวที่ทำมาพอสมควรจนเกือบจะเรียบร้อยแล้วในเรื่องการแยกธุรกิจ "อีกอย่างภาระในสาขาต่างจังหวัดเราก็ไม่มีเพราะเราเป็นบริษัทตั้งใหม่ ภาระเก่าที่ยกมาก็ไม่มี แต่อย่างไรก็ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจด้วย" ศิริมากล่าวอย่างรอบคอบ

จะเห็นว่านโยบายของ บล. คาเธ่ย์ แคปปิตอล ค่อนข้างจะระมัดระวังเป็นนพิเศษ ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี อีกส่วนหนึ่งเนื่องจากเห็นว่าตัวเองยังเล็กอยู่ไม่ควรทำอะไรที่เสี่ยงมากนัก เพื่อประคับประคองให้บริษัทโตขึ้นตามที่ตั้งเป้าไว้

วิธีหนึ่งที่เดินไปได้ถูกทางแล้วคือการร่วมทุนอย่างเป็นทางการกับ ธ. นครหลวงไทย ถือเป็นแนวโน้มที่ดีของบริษัทในภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันปัจจุบัน ถ้าสถาบันการเงินรายอื่นจะเอาอย่างก็ไม่เลวทีเดียว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.