POWERพุ่ง3,250%ชี้ต้นทุน20บาทยังเจ็บ


ผู้จัดการรายวัน(8 ธันวาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

หุ้นเพาเวอร์-พี ร้อนแรง ราคาซื้อขายวันแรกพุ่ง 3,250% "ราชศักดิ์" ลั่นเร่งสร้างผลประกอบการให้โต มั่นใจทำงานเป็นทีม เพื่อประโยชน์ แก่ผู้ถือหุ้น รับก่อนหน้าชักชวนเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.เข้าถือหุ้น "กิมเอ็ง" แนะให้หลีกเลี่ยง ชี้ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน วงในระบุราคานอกตลาดมีหลายระดับ 10-15-20-22 บาท เหตุ "กลุ่มสุริยา" ไม่รับซื้อคืนช่วงปิคนิคมีปัญหาระวังไล่แล้วขายทิ้งฟันกำไร
วานนี้(7 ธ.ค.) หุ้น บมจ.เพาเวอร์-พี (POWER) ออกจากหมวด รีแฮบโกหรือหมวดที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ กลับเข้ามาซื้อขายในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง ปรากฏว่าราคาหุ้นเปิดตลาดได้ที่ระดับ 14 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.60 บาท หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามาผลักดันให้ราคาปรับตัวขึ้นมาสูงสุดที่ 18.40 บาท แต่ต่อมาก็มีแรงเทขายทำกำไรจนทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาและมาปิดที่ระดับ 13.40 บาท เพิ่มขึ้น 13 บาท หรือ 3,250% มูลค่าการซื้อขาย 1,092.86 ล้านบาท

นายราชศักดิ์ สุเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพาเวอร์-พี เปิดเผยว่า หุ้นเพาเวอร์-พีถือว่าเข้ามา ซื้อขายในช่วงเวลาที่เหมาะสม แม้ว่าจะซื้อขายช้าไปแต่หุ้นก็มีความมั่นคง และมองว่าเป็นหุ้นที่ดีสำหรับนักลงทุน โดยบริษัทมีงานที่อยู่ในการดูแลเป็นจำนวนมาก เช่น งานก่อสร้างเขื่อนแควน้อย ถือเป็นเขื่อนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย เมื่อสร้างเสร็จจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น

ด้านราคาหุ้นของบริษัทจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความไว้ใจของผู้ร่วมทุนและพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามา แต่ก็อยากให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่า บริษัทจะมีการดำเนินการให้บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีและจะสร้างผลประโยชน์ที่สูงสุดให้แกˆผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งจะปรากฏให้เห็นในอนาคต โดยบริษัทมีนโยบาย ที่รับงานที่จะต้องมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15% และจะต้องมีกำไรสุทธิ 5-8%

"รู้สึกพอใจที่ราคาหุ้นของบริษัทสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็อยากให้นักลงทุนไว้วางใจการดำเนินงานของบริษัทที่จะสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งก็จะให้ WIN-WIN ทุกฝ่าย" นายราชศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงที่เข้ามาบริหารงานนั้นได้ชักชวนเพื่อนร่วมรุ่นวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงเข้ามาร่วมถือหุ้นเพาวเวอร์-พีด้วย ซึ่งเชื่อมั่นว่าบริษัทนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก และส่งผลดีต่อบริษัทเพราะทำให้มีงานเข้ามาเพิ่มอีกด้วย
นายราชศักดิ์ กล่าวว่า การบริหารงานจะดำเนินการอย่างเป็นทีม โดยมีผู้มีชำนาญในแต่ละส่วน ซึ่งขณะนี้มีงานที่ต้องทำอีกมาก ดังนั้นบริษัทจะคำนึง ถึงการสร้างผลประกอบการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในโครงการแต่ละโครงการ
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์ หุ้นเพาเวอร์-พี แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากเห็นว่าบริษัทมีความเสี่ยงสูงทั้งในด้านการดำเนินงานและการ เงิน และยังมีโอกาสที่จะเพิ่มทุนอีกในอนาคตอันใกล้ เพื่อนำเงินไปชำระค่าหุ้นของบริษัทแอลวีซี ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างที่บริษัทเพาเวอร์-พี เพิ่งซื้อกิจการมา นำไปใชิ้คืนหนี้สินและขยายงานในอนาคต โดยประเมินราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 4 บาทซึ่งเท่ากับ 2 เท่าของมูลค่าตามบัญชีปี 2549

ทั้งนี้ บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ได้แก่บริษัท ITD,CK และ STEC ซื้อขายกันอยู่ที่ 1.7,1.8 และ 3.3 เท่าของมูลค่าตามบัญชีปี 2549

สำหรับเพาเวอร์-พี ได้ทำการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยลดทุนชำระแล้วจาก 21 ล้านหุ้นเป็น 10.5 ล้านหุ้น หลังจากนั้นก็เพิ่มทุนจาก 10.5 ล้านหุ้นเป็น 210 ล้านหุ้น โดยออกหุ้นใหม่แบ่ง ขายเป็น 2 กลุ่มกลุ่มที่ 1 จำนวน 42 ล้านหุ้นจัดสรรให้เจ้าหนี้เดิมแปลงหนี้เป็นทุนในราคาหุ้นละ 5 บาท ส่วนกลุ่มที่ 2 จำนวน 157.5 ล้านหุ้น ขายให้ผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่แบบ private placement ในราคา หุ้นละ 3.8 บาท

ทั้งนี้ หุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่จะติดไซเลนต์พีเรียดเป็นเวลา 1 ปีโดยในช่วง 6 เดือนแรกจะสามารถขายหุ้นได้ 25% และในอีก 6 เดือนถัดไปจะขายได้อีก 25% ของหุ้นที่ถูกห้ามซื้อขาย ดังนั้นในการซื้อขายวันแรกจะมีฟรีโฟลต(free float) อยู่ที่ 43.75% หากไม่มีรายการพิเศษในไตรมาส 4/48 คาดว่าผลประกอบการของบริษัทเพาเวอร์-พี จะยังขาดทุนและคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 2548 จะเท่ากับ 21 ล้านบาท หรือเท่ากับ 0.10 บาทต่อหุ้น

ขณะที่นักวิเคราะห์อีกราย ระบุว่า การที่บริษัทได้มีการผิดนัดชำระเงินกู้ เกือบ 300 ล้านบาท จากที่ในงบไตรมาส3/48 ที่ผู้สอบบัญชีได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งจะทำให้อนาคตบริษัทจะกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ยากและจะมีปัญหาในเรื่องการเพิ่มทุนในอนาคตเช่นกัน คาดว่าปี 2549 เพาเวอร์-พีจะมีผลขาดทุน 28 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง และมีดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น ซึ่งในปีนี้หากตัดกำไรพิเศษที่มี 38 ล้านบาท ก็จะทำให้บริษัทมีผลขาดทุน 18 ล้านบาท

ทั้งนี้ ให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 3 บาท ซึ่งคิดจาก ส่วนลดกระแสเงินสด ซึ่งหากคิดจาก P/E นั้นก็จะต้องคิดที่ 30 เท่า ถึงจะเป็นราคาที่ 3 บาท หากคิดค่าP/E ที่ 13 บาท นั้นอยู่ที่ 50 เท่า โดยราคาหุ้นวานนี้(7 ธ.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนั้นก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็น เพราะสาเหตุใดอาจจะเป็นนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร

ด้านแหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า ราคาหุ้นเพาเวอร์-พีที่ร้อนแรงขึ้นนั้น นอกจากภาวะตลาดหุ้นที่กลับมาฟื้นตัวส่วนหนึ่งแล้ว ยังเป็นผลสืบเนื่องจากที่ก่อนหน้านี้หุ้นเพาเวอร์-พี อยู่ในการดูแลของนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ซึ่งนำไปขายให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ และกลุ่มเพื่อนนักการเมือง โดย ขณะนั้นฐานะการเงินของกลุ่มปิคนิค คอร์ปอเรชั่น ยังไม่ประสบปัญหา จึงทำให้ราคานอกตลาดมีการซื้อขายที่หลายระดับราคา

ทั้งนี้ กระแสข่าวระบุว่า ราคานอกตลาดมีตั้งแต่ระดับ 10 บาท 15-16 บาท ก่อนร้อนแรงไปสู่ระดับ 20 บา จากกระแสข่าวที่ว่าราคาหุ้นเพาเวอร์พีจะไปได้ถึง 30 บาท แต่อย่างไรก็ตาม ราคานอกตลาดเริ่มชะลอไม่มีผู้เข้ารับช่วงต่อหลังจากที่มีผู้นำมาเสนอขายที่ 22 บาท

ไม่นานเหตุการณ์ บมจ.ปิคนิคฯมีปัญหาฐานะการเงินเกิดขึ้นตาม ทำให้ราคาหุ้นนอกตลาดทรุด ฮวบลงมา โดยราคาเสนอขายคืนที่ 15 บาท ไม่มีผู้ซื้อและนายสุริยา ก็ไม่ยอมรับซื้อคืน โดยให้ทุกคน ไปซื้อขายเมื่อหุ้นได้กลับเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ดังนั้น ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นไปที่ 18 บาทกว่าเมื่อวานนี้ เท่ากับกลุ่มที่ซื้อหุ้นเพาเวอร์-พีมาในระดับ 10-16 บาท สามารถขายทำกำไรออกไปได้แล้ว ยังคงเหลือที่ระดับราคาที่ 20 บาท ซึ่งหากมีราคานอกตลาดจริง เท่ากับว่าอาจจะมีการเข้ามาไล่ราคาขึ้นไปก่อนจะเทขายทำกำไรออกมา


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.