ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล 'ผมบริหารงานไม่เป็น ผมเป็นสื่อสารมวลชน'

โดย ไพเราะ เลิศวิราม
นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

"ผมไม่เก่งในเรื่องบริหาร เขาเห็นผมมีชื่อเสียงก็จ้างผมไป ไม่รู้หรอกว่า ผมเป็นอย่างไร กลุ่มวัฎจักรคงไม่รู้จักผมเต็มที่ คิดว่าผมจะเก่ง แต่จริง ๆ แล้วผมไม่เก่ง ผมไม่ได้เป็นนักบริหาร แต่เป็นสื่อสารมวลชน ชอบทำงานโน่นทำนี่ตามใจตัวเอง ผมไม่ชอบทำกำไรให้นายทุนเป็นเป้าใหญ่" ประโยคทองของ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งสะท้อนปัญหาที่ผ่านมาของเอเชียวิชั่นส์ได้เป็นอย่างดี

ดร.สมเกียรติ ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกข่าวให้กับช่อง 9 และช่อง 5 ทำรายการวิทยุ จ.ส.100 จนเป็นที่นิยมอยู่ในเวลานี้ ซึ่งช่วงเวลาทั้งหมดนี้ ดร.สมเกียรติ ทำงานร่วมกับปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา มาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่า ปีย์และดร.สมเกียรติ จะเป็นคู่หูในการทำธุรกิจที่ลงตัวมากที่สุด

หากเปรียบแล้ว ดร.สมเกียรติเป็นนักคิด ส่วนปีย์นั้นเป็นนักการตลาด ที่สามารถนำไอเดียที่ ดร.สมเกียรติ ไปวางตลาดได้ บริษัท แปซิฟิก อินเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จึงเติบใหญ่ได้ในวงการสื่อสารมวลชน

แต่แปซิฟิกไม่ใช่ทางเลือกเดียว เมื่อ ดร.สมเกียรติ ได้รับทาบทามจากปิยะณัฐให้มาฟื้นฟูช่อง 11 แต่ปีย์ไม่เอาด้วย เพราะหวั่นเกรงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่ง ดร.สมเกียรติ นั้นพกพาความฝันไว้อย่างเต็มเปี่ยม ที่อยากให้โทรทัศน์เพื่อสาธารณะเกิดขึ้นในไทย แม้จะไม่มีแปซิฟิกแต่ก็ยังมีนายทุนคนอื่นที่ยังต้องการเข้าสู่ธุรกิจโทรทัศน์

กระนั้นก็ดี ระยะเวลาไม่ถึงปี ดร.สมเกียรติ ก็ต้องเปิดหมวกอำลาจากเอเชียวิชั่นส์ และไปเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เบื่อระบบราชการ และที่สำคัญกลุ่มวัฎจักรขาดเงินทุนหมุนเวียนมาใช้ในการลงทุน

ก็น่าแปลกใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้ ดร.สมเกียรติจะไม่รู้หรือว่า การทำช่อง 11 นั้นยังต้องผูกติดกับระบบราชการ

แม้จะผละออกจากเอเชียวิชั่นส์ แต่ไม่ได้หมายความว่า ดร.สมเกียรติ จะละทิ้งแนวคิดการแปรรูปช่อง 11 ให้เป็นโทรทัศน์สาธารณะ แต่ครั้งนี้เขามองไกลไปกว่านั้น

"ผมจึงคิดว่าการร่างรัฐธรรมนูญสบายใจกว่า เพราะมันจะกำหนดกว้าง ๆ ดีกว่าที่เราจะมานั่งต่อสู้ประเด็นปลีกย่อยและไม่มีอำนาจอะไรเลย อย่างคุณปิยะณัฐหากเห็นด้วยกับผมก็สบายใจ แต่ถ้าคุณปิยะณัฐไม่อยู่ และคนที่มาเขาไม่เอาแบบนี้ เรื่องมันก็จบ" ดร.สมเกียรติ สะท้อนแนวคิด

ด้วยบทบาทของการเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดร.สมเกียรติ เสนอแนวคิดโทรทัศน์สาธารณะให้บรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ

วิธีการก็คือ การดึงคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ที่มีอยู่ในมือของหน่วยงานรัฐ ทั้งวิทยุทหาร กรมประชาสัมพันธ์ อ.ส.ม.ท.กลับคืนมาให้หมด และนำมากองไว้ตรงกลาง และให้มีกรรมการกลาง เหมือนกับองค์กรกลางที่ประชาชนและรัฐบาลทำร่วมกันนำมาจัดสรรใหม่ และแบ่งให้กับหน่วยงานรัฐตามความจำเป็นในการใช้งาน

ส่วนที่เหลือก็ต้องนำไปใช้ประโยชน์เพื่อประชาชน โดยให้ทุกจังหวัดต้องมีทีวี 1 ช่องและวิทยุ 1 คลื่น แะลในการทำทีวีหรือวิทยุ จะต้องมีคนในจังหวัดนั้น ถือหุ้นเกินครึ่ง ที่เหลืออีก 40% จะให้คนนอก เช่น โทรทัศน์จากส่วนกลาง หรือกลุ่มเอกชน มาถือหุ้น เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนรายการ และสนับสนุนในเรื่องเงินลงทุน และโครงสร้างบริหาร

ทำในลักษณะของโทรทัศน์สาธารณะแบบบีบีซี หรือเอ็นเอชเค ของญี่ปุ่น ที่เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐ

ดร.สมเกียรติ ยอมรับว่า แนวคิดของเขาย่อมต้องได้รับการคัดค้านจากหน่วยงานรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทหาร กรมประชาสัมพันธ์ หรือ อ.ส.ม.ท. ที่ครอบครองคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ในมือ และต้องสูญเสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก

หลังจากผละจากเอเชียวิชั่นส์ แต่เขายังไม่ทิ้งแนวคิดโทรทัศน์สาธารณะ แต่คราวนี้ เขามาไกลกว่านั้น เสนอไว้ในร่างรัฐธรรมนูญให้ยึดคลื่นคืนมาใส่ตระกร้าล้างน้ำ

ดังนั้น การประมูลยูเอชเอฟ ช่องที่ 2 ดร.สมเกียรติ จึงมองว่า การรีบผลักดันให้มีการประมูลก็เท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างหนึ่ง ซึ่งหากประกาศใช้ได้จริง ก็จะมีผลให้คลื่นทั้งหมดถูกส่งคืนกลับมา รวมทั้งคลื่นยูเอชเอฟด้วย

อย่างไรก็ดี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่มีผลย้อนหลัง แต่จะรอจนกระทั่งหมดอายุสัญญาที่ทำไว้กับเอกชน และหลังจากนั้น จึงจะนำมาจัดสรรกันใหม่

ในอีกไม่ช้า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องคลื่นโทรทัศน์และวิทยุเสร็จสิ้น ก็คงได้เห็นกันว่า ฝันของการทำโทรทัศน์เพื่อสาธารณะของ ดร.สมเกียรติ จะเป็นจริงได้หรือไม่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.