แม้ว่ากลุ่มบริษัทไทยสงวนวานิชของวิกรม ชัยสินธพ เกิดและเติบโตมากับธุรกิจขายสินค้าอุตสาหกรรม
แต่ประสาวิกรมแล้ว เขาไม่ยอมหยุดนิ่งอย่างแน่นอน จึงทำให้ไทยสงวนวานิชฯ ในวันนี้
ขยับขยายเครือข่ายไปยังงานด้านโทรคมนาคมสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที
ตามกระแสตลาดและความอยู่รอด
ไม่นานนี้ เขาประกาศจุดยืนว่า กลุ่มไทยสงวนวานิชจะเป็น SYSTEM INTEGRATER
หรือ SI ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่กำลังเติบโต ทั้งธนาคาร
ร้านค้าปลีก ฯลฯ ด้วยว่า ได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท ซีเมนส์ จากเยอรมนี
ผ่านการร่วมทุนในบริษัท ที.เอ็น.-นิกซ์ ดอร์ฟ คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ล่าสุด ไทยสงวนฯ มีแผนงานจะเข้าไปสู่ธุรกิจผลิตซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา
"เราคิดว่า จะจับตลาดซอฟต์แวร์ด้านการศึกษา และคาดว่า ซอฟต์แวร์ด้านนี้จะเป็นฐานรายได้ที่สำคัญในอนาคตของกลุ่มบริษัท
นอกเหนือจากงานสายอุตสาหกรรมและงานทางด้านบริการคอมพิวเตอร์ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน"
วิกรม ในฐานะประธานกลุ่มไทยสงวนวานิช ประกาศออกมาในงานแถลงข่าวผลประกอบการของบริษัท
คำประกาศของวิกรมบอกทิศทางของกลุ่มบริษัทได้ดีว่า จะอยุ่กับธุรกิจเดิม คือ
การจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม โทรคมนาคม กับฮาร์ดแวร์ และบริการด้านคอมพิวเตอร์อย่างในปัจจุบันเท่านั้นไม่ได้แล้ว
เพราะแม้จะยังมีรายได้เติบโตทุกปี แต่การทำกำไรกลับยากลำบากลงไปทุกทีเช่นกัน
อย่างในปี 2539 ที่ผ่านมา กลุ่มไทยสงวนฯ มียอดขายเติบโตจากปี 2538 ถึง 70%
โดยมียอดขายสูงถึง 1,450 ล้านบาท โดยมาจากบริษัทไทยสงวนฯ 650 ล้านบาท ที่เหลือ
780 ล้านบาทเป็นของบริษัท ที.เอ็น.ฯ
รายได้รวมทั้งเครือสูง 1,325 ล้านบาท เติบโตกว่าปีที่แล้ว 22% แยกเป็นรายได้จากบริษัท
ไทยสงวนวานิช 2489 จำนวน 620 ล้านบาท และบริษัท ที.เอ็น.-นิกซ์ดอร์ฟฯ จำนวน
685 ล้านบาท
กระนั้น วิกรมก็ไม่ยอมเอ่ยถึงกำไร ขณะที่กิตติธัช ตรีเพิ่มทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไปของไทยสงวนวานิช
2489 เปรย ๆ ว่า เม็ดเงินกำไรสุทธิเติบโตจากเดิม 20-25% ทว่า อัตรากำไรเบื้องต้นกลับต่ำลง
เนื่องจากมีการตัดราคาสินค้ากันมาก
ปัญหานี้ กลุ่มไทยสงวนวานิชรับรู้มานาน และเตรียมตัวรับศึกนี้เหมือนกัน
โดยเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ กลุ่มไทยสงวนฯ ได้ปรับโครงสร้างองค์กร เริ่มที่บริษัทที.เอ็น.-นิกซ์ดอร์ฟฯ
และตามมาด้วยบริษัทไทยสงวนวานิช 2489 ในเดือนตุลาคม 2539 ด้วยการจัดแบ่งองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจ
(BUSINESS UNITS หรือ BU) ตามประเภทสินค้าและบริการ เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน
และสะดวกต่อการบริการลูกค้า
ผลของการปรับองค์กรครั้งนั้น ทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มมากขึ้นดังในปัจจุบัน
และช่วยลดต้นทุนด้วยการยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น หน่วยโทรศัพท์มือถือ
แต่การปรับองค์กรก็ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้มากนัก ดังนั้น จึงต้องแสวงแนวทางใหม่
ๆ การจับธุรกิจซอฟต์แวร์การศึกษา จึงเป็นแผนต่อเนื่องในการสร้างกำไรให้กับองค์กร
เนื่องจากอัตรากำไรจากซอฟต์แวร์ค่อนข้างสูง
ยิ่งกว่านั้น ความเสี่ยงในการแข่งขันจะน้อยกว่าถ้าสามารถจับมือกับหน่วยงานราชการได้
ย่อมจะทำให้มีงานระยะยาวประเภทกินได้ไม่หมด ดูง่าย ๆ แค่ในระดับประถมศึกษา
ก็มีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ถึงกว่า
40,000 แห่งทั่วประเทศ และมีนักเรียนซึ่งต้องใช้ตำราถึง 14 ล้านคน เรียกว่าฐานลูกค้ามีแน่นอน
มิพักต้องพูดถึงการศึกษาระดับอื่น ๆ …งานนี้ขุมทรัพย์มารอตรงหน้า
ว่าไปแล้ว แนวคิดการผลิตซอฟต์แวร์การศึกษาไม่ใช่เรื่องใหม่ของกลุ่มไทยสงวนฯ
แต่อย่างใด หากแต่อยู่ในความคิดของวิกรมมาร่วม 2 ปีแล้ว
"การศึกษารูปแบบเดิมคงต้องเปลี่ยนไป สิ่งทีเพิ่มขึ้นมา คือ มัลติมีเดียและอินเตอร์เน็ต
ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็มีการใช้ในเรื่องของตำราเรียน ลดการใช้ตำราจากกระดาษลงไป
และผมเชื่อว่าแนวโน้มในประเทศไทยและแถบเอเชียก็คงต้องเปลี่ยนไปด้วย"
เขากล่าวถึงที่มาที่ไปของแนวคิดดังกล่าว
วิกรมคาดว่า การลงทุนนำซอฟต์แวร์ดังกล่าว จะใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท ภายในระยะเวลา
5 ปี และคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปีเท่านั้น โดยจะเริ่มจากหลักสูตรชั้นประถมศึกษาก่อน
"เราจะซื้อลิขสิทธิ์หรือใบอนุญาตซอฟต์แวร์ด้านนี้จากต่างประเทศเข้ามาใช้
รวมทั้งปรับซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับหลักสูตรการศึกษาของบ้านเราด้วย" วิกรม
กล่าวถึงแนวทางในการผลิตซอฟต์แวร์
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เขาหวังไว้ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างในปัจจุบัน เนื่องจากยังขาดบุคลากรที่จะมาสร้างงาน
"คนที่เรามีอยู่ก็ไม่มีความถนัดเรื่องซอฟต์แวร์การศึกษา เรามีคนถนัดซอฟต์แวร์ของแบงก์หรืออื่น
ๆ แต่เรื่องการศึกษาก็เรื่องเฉพาะที่ต้องหาคนที่มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญจริง
ๆ จึงยังไม่ได้ทำ ทั้งที่จริงคิดว่า จะเปิดตัวได้ตั้งแต่กุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีนี้แล้ว"
วิกรม กล่าว
นอกเหนือจากนี้ ก็ยังต้องมีการเจรจาติดต่อหน่วยงานราชการ ดังเช่น กรมวิชาการ
ด้วยว่าต้องพิจารณาว่า จะผลิตซอฟต์แวร์ที่เสริมการศึกษาหรือผลิตซอฟต์แวร์ตามหลักสูตรการศึกษาโดยตรง
ซึ่งก็ยังต้องใช้เวลา แต่วิกรมมั่นใจว่า จะเปิดตัวได้ภายในปีนี้
ทว่า หนทางของวิกรมอาจจะไม่ราบรื่นนัก เพราะช่องว่างที่เขามองเห็น ผู้ประกอบการอื่นในแวดวงไอที
และแวดวงที่เกี่ยวข้องต่างก็จ้องตาเป็นมันเช่นกัน ดังเช่น ค่ายแกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเมนท์ก็เบนเข็มจับธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษามาบ้างแล้ว
โดยได้รับสัมปทานจากองค์การค้าคุรุสภาเพียงผู้เดียวในประเทศไทย อีกทั้งแกรมมี่ยังมีพันธมิตรอย่างค่ายไมโครซอฟท์
ซึ่งได้จับมือกันขายซอฟต์แวร์ด้านการศึกษาจึงเป็นก้าวต่อไปที่แกรมมี่ฯ ไม่มองข้ามอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น หากกลุ่มไทยสงวนวานิช ดำเนินการล่าช้าเท่าใดก็เท่ากับว่าเพิ่มโอกาสให้กับคู่แข่งมากขึ้นเท่านั้น
ในวันนี้ ปรัชญาเดิมที่วิกรมยึดถือมาตลอดที่ว่า "เราจะลงมือทำอะไร
ต้องให้แน่ใจว่ามีทุกอย่างพร้อมแล้ว" ก็คงต้องถูกทบทวนใหม่ เพราะมิฉะนั้นแล้ว
เขาอาจทำพร้าเล่มงามหลุดมือไปก็ได้