ธปท.แฉทักษิณถังแตกจริง


ผู้จัดการรายวัน(1 ธันวาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

แบงก์ชาติแฉเดือนเดียวรัฐบาลใช้เงินคงคลัง 6.7 หมื่นล้าน ทำให้เหลือ แค่ 3.6 หมื่นล้าน และขาดดุลเงินสด 5.3 หมื่นล้าน เผยตัวเลขเศรษฐกิจ ต.ค. ขาดดุลการค้า 1.5 หมื่นล้านบาท เหตุส่งออกเดี้ยงเพราะจีนตีตลาดกระจุย ขณะที่ขุนคลังผงะนำเข้าทองคำพุ่ง 44% แต่มั่นใจจีดีพี 4.3% ฝ่ายค้านจับพิรุธรัฐบาลถังแตกจนต้องออกตั๋วกู้เงิน 8 หมื่นล้าน เพราะชวดเงินจากการขายหุ้น กฟผ.

วานนี้ (30 พ.ย.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงเศรษฐกิจเดือน ต.ค. 48 ภาวะเศรษฐกิจ โดยรวมพบว่า ชะลอตัวจากเดือนก่อน ดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดุลการค้าขาดดุล 372 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท เนื่องจากการส่งออกชะลอลงมาก โดยขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนเพียง 7.7% เทียบกับ 23.8% ในเดือนก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 9,403 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้าขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนในอัตรา 19.7% คิดเป็นมูลค่า 9,775 ล้านเหรียญสหรัฐ

นางสุชาดา กิระกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เปิดเผยว่า สินค้าส่งออก สำคัญที่ขยายตัวลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ยางพาราและน้ำตาล ส่วนสินค้าที่การนำเข้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สินค้าทุน ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบิน 2 ลำ

ทั้งนี้ การนำเข้าน้ำมันดิบ ยังขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยปริมาณนำเข้าน้ำมันรวมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ราคาเริ่มชะลอ ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุล 440 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจากรายได้ ท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายจ่ายส่งกลับกำไรและเงินปันผลต่ำกว่าเดือนก่อนซึ่งเป็นระยะตกงวดชำระ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียง 69 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับดุลการชำระเงินเกินดุล 303 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ระดับ 49.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นางสุชาดาเปิดเผยด้วยว่า เดือน ต.ค. รัฐบาลขาดดุลเงินสดอยู่กว่า 53,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินกองคลังกว่า 67,000 ล้านบาทส่งผลให้ยอดเงิน กองคลัง ณ สิ้นเดือน ต.ค. เหลือกว่า 36,000 ล้านบาท

วันเดียวกัน นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจ การคลังประจำเดือนตุลาคม 2548 ว่า การจ้างงานโดยรวมชะลอตัวโดยอัตราการว่างงานในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 1.8% เป็นผลจากการจ้างงานในภาคการเกษตรที่มีสัดส่วนสูงถึง 38% ของการจ้างงานรวมปรับตัวลดลง และคาดว่าการจ้างงานในไตรมาส ที่ 4 จะขยายตัวใกล้เคียงกับในไตรมาสที่ 3

สำหรับการบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวได้ดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจ ปรับตัวดีขึ้น โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนจากการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนตุลาคมขยายตัวร้อย 22.3% ซึ่งแม้ว่ารายได้ที่สูงขึ้นนั้นจะมาจากผลของราคาที่สูงขึ้น แต่เมื่อหักผลด้านราคาออกแล้วยังพบว่าปริมาณการจัดเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนทั้งในด้านเครื่องจักร และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อยู่ในระดับที่ทรงตัว ส่งออกเดี้ยงเพราะจีน-นำเข้าทองคำพุ่ง 44%

การส่งออกขยายตัว 8.4% เป็นมูลค่า 9,574 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าในเกือบทุกรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการขยายตัว 9.5% จากที่เคยขยายตัวได้ 16.3% และ 27.7% ในเดือนสิงหาคม และกันยายน ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการในตลาดลดลงประกอบกับสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาด
ด้านการนำเข้า ชะลอตัวลงต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 4 โดยมีการนำเข้าเป็นมูลค่า 9,760 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18.3% ซึ่งหากการนำเข้ามีการขยายตัวในอัตรานี้ต่อไป การนำเข้าเฉลี่ยทั้งปีของปี 2548 อาจจะต่ำกว่าเป้าหมายการควบคุมการนำเข้าที่ 28% สินค้าที่มีการนำเข้าลดลงอย่างมาก ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.4% และปริมาณการนำเข้าที่ลดลง 27.0% ส่วนทองคำที่กำลังเป็นที่จับตาอยู่นั้น ปริมาณการนำเข้าทองคำกลับเพิ่มขึ้น 44.4%

"ดุลการค้าขาดดุล 185.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการนำเข้าเครื่องบินของบริษัทการบินไทย ขณะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นโดยอัตราเงินเฟ้อขยายตัว 6.2% สูงขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค พื้นฐานขยายตัว 2.4% ต่อปี"

คลังคาดจีดีพีปีนี้โต 4.3%

นายสมชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ 4.3% ต่อปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่ได้ประมาณการไว้เดิมที่ 4.1-4.6% ต่อปี โดยในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจขยายตัว 3.9% ต่อปี ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่า จะขยายตัวได้ประมาณ 4.5% ต่อปี

โดยระบุว่า ครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยบวกที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ 1. ปริมาณการส่งออกสินค้าในไตรมาส 3 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงมาก แต่ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนยังขยายตัวดีอยู่ 2. อัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส 3. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ทำให้คลายแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง

ด้านการค้าระหว่างประเทศคาดว่า มูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 109.6 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 14.1% ต่อปี ส่วนมูลค่า นำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 118.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 25.3% ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การขาดดุลการค้าในปี 2548 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเฉลี่ย 44.5% จากปี 2547 และการนำเข้าน้ำมันที่คาดว่ามีมูลค่าถึง 18.5 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 2.3% ของ GDP ทุน สำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2548 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 48.3 คิดเป็น 2.9 เท่าของ หนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของ มูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% ต่อปี ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วสูงขึ้นในปี 2548 ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจากปี 2547 เฉลี่ย 44.5% และรัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 14 กรกฎาคม 2548 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ในปี 2548 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.6%

ขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้า คาดว่าจะอยู่ที่ 122.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.0% ต่อปี ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าคาดว่าจะอยู่ที่ 127.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.0% ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการนำเข้าสินค้าทุนและน้ำมันเป็นหลัก และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 0.1% ของจีดีพี ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ 52.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 3.0 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ในปีหน้า ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักที่ยังคงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย รวมถึงแรงกดดันที่ทำให้ค่าเงินหยวน มีทิศทางที่สูงขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ มีทิศทาง ที่อ่อนตัวลง ซึ่งจะเป็นผลให้ไทยต้องดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าเงินบาทจะอยู่ในระดับ 42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปัจจัยภายในประเทศนั้น คาดว่ามีผลกระทบทางลบไม่มากนัก

นายทนง พิทยะ รมว.คลัง กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนที่เหลือช่วงปลายปีนี้จะไม่มีปัญหา และมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีการจับจ่ายใช้สอย สำหรับการจัดเลี้ยง ซื้อของขวัญ

แฉรัฐชวดเงิน กฟผ.จนต้องกู้ 8 หมื่นล้าน

นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยสาเหตุที่รัฐบาลต้องออกตั๋วเงินคลังจำนวน 8 หมื่นล้านบาทว่า เป็นการบริหารเงินคงคลังที่ไม่รอบคอบ และใช้จ่ายเกินตัวตามใจชอบ

"หากรัฐบาลถังแตก ประชาชน 60 ล้านคน จะเดือดร้อน เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่รัฐบาลมีการตัดเส้นทางรถไฟฟ้าไปแล้ว 2 สายทั้งที่รู้ว่าเป็นนโยบาย ที่ประชาชนชื่นชอบและเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้หาเสียงมาตลอด แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลรู้แล้วมีปัญหาในสภาพคล่อง"
นายเกรียงศักดิ์ตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า การแปรรูป กฟผ.ที่รัฐบาลต้องการนำเงินที่ได้มูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีการคัดค้านจนต้องเลื่อนการขายหุ้นออกไป ทำให้รัฐบาลเกิดภาวะขาดสภาพคล่อง จนต้องออกมานโยบายดังกล่าว ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่ารายได้จากตั๋วเงินคลังรัฐบาลจะไม่นำไปใช้อย่างอื่น แต่จะนำไปเป็นเงินที่สำรองไว้เพื่อสภาพคล่องในการเบิกจ่ายตามงบประมาณประจำปีเท่านั้นเพื่อความโปร่งใส

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กล่าวว่า การออกตั๋วเงินคลังของรัฐบาลส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาเงินคงคลัง หากแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามเป้า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจเกิดปัญหา และส่งผลให้การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลที่ก่อนหน้าประกาศให้ความสำคัญต่อการจัดงบประมาณสมดุล กลับกลายมาเป็นขาดดุลงบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้นักลงทุนต่างประเทศกำลังจับตามอง

รายได้ภาครัฐ ต.ค. 48
ภาคการคลัง

รายได้จัดเก็บ ตุลาคม8.1% กันยายน 32.2%
รายได้การจัดเก็บภาษี ตุลาคม9.7% กันยายน22.8%
รายได้ที่ไม่ใช่ภาษี ตุลาคม-16.7% กันยายน208.3%

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ต.ค.เป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ)


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.