ธุรกิจ "มีเดีย" เผือกร้อนในมือทรัพย์สินฯ


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ที่จริงแล้ว การขายหุ้นจำนวน 55% ในไอเอ็นเอ็น เรดิโอ นิวส์ ของสหศีนิมา โฮลดิ้ง ในเครือของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้กับบริษัทยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น อินดัสตรีส์ (ยูคอม) นับเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัวพอดีระหว่างธุรกิจ 3 กลุ่ม ยูคอม ไอเอ็นเอ็น และสำนักงานทรัพย์สินฯ

กลุ่มยูคอมนั้น ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า ปีนี้จะขอพักรบธุรกิจโทรคมนาคมไว้ก่อน และหันมามุ่งเน้นธุรกิจโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ยูคอมจะใช้ต่อภาพธุรกิจ "มัลติมีเดีย" หลังจากที่ธุรกิจโทรคมนาคม และบรอดคาสติ้งของยูคอม เริ่มเป็นรูปเป็นร่างไปแล้ว

ยูคอมเองก็เริ่มต่อภาพธุรกิจบรอดคาสติ้งทีละขั้น หลังจากได้เคเบิลทีวีมาแล้วแต่ยังไม่เริ่มลงมือ ก็คว้าสิทธิปรับปรุงสถานีวิทยุระบบ AM ของกรมประชาสัมพันธ์ จำนวน 40 สถานีให้เป็น สเตอริโอ โดยแลกกับการปรับปรุงเครือข่าย 400 ล้านบาท อายุสัมปทาน 6 ปี ต่อได้อีก 6 ปี และ 7 ปี รวมเป็นเกือบ 30 ปี

เมื่อความพร้อมในเรื่องฮาร์ดแวร์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ยูคอมก็จำเป็นต้องหาซอฟต์แวร์ และด้วยความที่ยูคอมไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของซอฟต์แวร์รายการ จึงต้องหาพันธมิตรเข้ามาร่วม การได้ไอเอ็นเอ็นมาอยู่ในมือเท่ากับว่า ยูคอมจะมีจิ๊กซอว์ด้านซอฟต์แวร์ทางด้านข่าวสารในมือไว้สำหรับป้อน "สื่อ" เหล่านี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ยูคอมก็มีซอฟต์แวร์ทางด้านบันเทิงมาแล้วด้วยการร่วมทุนกับสหมงคลฟิล์ม เจ้าของลิขสิทธิ์หนัง และโรงภาพยนต์เพื่อทำธุรกิจโรงหนังผ่านดาวเทียม

ขณะเดียวกันทางด้านไอเอ็นเอ็นเอง ซึ่งก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการถูกเจเอสแอล "แย่งชิง" คลื่นวิทยุ 102.5 ไปต่อหน้าต่อตา เพราะความเปราะบางของสัมปทานวิทยุ จนทำให้ไอเอ็นเอ็นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเดือนละ 5 ล้านบาท จากพนักงาน 200 ชีวิตที่ไม่มีงานทำ และไม่มีทีท่าว่าจะได้คลื่นวิทยุใหม่มาทดแทนเลยแม้แต่น้อย

การได้ยูคอมเข้ามาถือหุ้น จึงเท่ากับเป็นการต่อท่อออกซิเจนที่ต่อชีวิตให้กับไอเอ็นเอ็นได้อย่างดีที่สุด

สนธิญาน หนูแก้ว ผู้อำนวยการของไอเอ็นเอ็น กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า การที่ไอเอ็นเอ็นเลือกกลุ่มยูคอมมาเป็นผู้ถือหุ้นนับเป็นจุดที่ลงตัวพอดี เพราะยูคอมมีความพร้อมในเรื่องของฮาร์ดแวร์ มีเครือข่ายโทรคมนาคม กิจการเคเบิลทีวี และวิทยุ 40 สถานีในมือ ในขณะที่ไอเอ็นเอ็นมีความพร้อมในเรื่องของซอฟต์แวร์

นอกจากนี้ เงินลงทุนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนธิญานเชื่อว่า ยูคอมจะเข้ามาช่วยให้ไอเอ็นเอ็นบรรลุสู่เป้าหมายของการเป็นสำนักข่าวทำหน้าที่ผลิตข่าวป้อนสื่อวิทยุ ทีวี และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการจะก้าวไปถึงจุดนั้นจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก

ในขณะที่ยูคอมและไอเอ็นเอ็นเป็นภาพของความลงตัวของธุรกิจทั้งสองแห่ง แต่สำหรับสำนักงานทรัพย์สินฯ แล้ว เหตุผลในการขายหุ้นในไอเอ็นเอ็นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะหากเปรียบแล้ว ก็เหมือนกับการโยนเผือกร้อนในมือทิ้งไป

สนธิญาน เล่าว่า สาเหตุการขายหุ้นของสหศีนิมาโฮลดิ้งที่ถืออยู่ในไอเอ็นเอ็น เรดิโอนิวส์ มาจากการนำข่าวสารของไอเอ็นเอ็นบางครั้งไปกระทบกับนักการเมืองบางคน หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลัง ซึ่งส่งผลกระทบกับสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งมีสถานภาพเป็นสถาบันที่ต้องรักษาความเป็นกลาง

"ทรัพย์สินฯ เองก็ไม่สบายใจในเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้น การขายหุ้นในไอเอ็นเอ็น แม้จะไม่ได้ขายไปทั้งหมด 100% แต่ก็ทำให้ทรัพย์สินฯ สามารถลดบทบาทลง เพื่อรักษาความเป็นกลางได้มาขึ้น" สนธิญานชี้แจง

แหล่งข่าวในสำนักงานทรัพย์สินฯ กล่าวว่า นอกเหนือจากการขายหุ้นในไอเอ็นเอ็นแล้ว ทรัพย์สินฯ จะลดบทบาทในธุรกิจไอทีและมีเดียวที่มีอยู่ในมือลงจากที่มีอยู่เกือบยี่สิบบริษัทจะยุบเหลือแต่บริษัทที่ทำรายได้ประมาณ 4-5 บริษัทเท่านั้น เช่น สยามแซทเน็ทเวิร์ค ทำธุรกิจวีแซท เป็นต้น

"ในเร็ว ๆ นี้ ทรัพย์สินฯ จะรื้อโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดย ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งจะมีการยุบบริษัทในกลุ่มไอทีและมีเดียวที่แตกขยายออกไปหลายแห่ง แต่ไม่ทำเงินลง จะเหลือเฉพาะบริษัทที่ทำรายได้" แหล่งข่าวเล่า

นอกเหนือจากกิจการธนาคารอสังหาริมทรัพย์ และปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่อยู่ในมือของทรัพย์สินฯ มานานปีแล้ว เมื่อโลกก้าวสู่คลื่นลูกที่สามในยุคของอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี ทรัพย์สินฯ ก็ไม่พลาดที่จะตกขบวนรถไฟสายด่วนนี้

ธุรกิจ "ไอทีและมีเดีย" จึงเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทรัพย์สินฯ ในยุคนี้

แม้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจมีเดียวของทรัพย์สินฯ จะเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญด้วยการเข้าไปทำวิทยุ พล.1 ในนามของสหศีนิมาโฮลดิ้ง จนกระทั่งเกิดเป็นบริษัท ไอเอ็นเอ็น เรดิโอนิวส์ แต่เมื่อมาถึงการประมูลทีวีเสรีระบบยูเอชเอฟ ทรัพย์สินฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการก้าวสู่ธุรกิจมีเดียว ด้วยการจัดตั้งบริษัทสยาม ทีวี แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ขึ้นมาเพื่อเข้าประมูลและสามารถคว้าชัยชนะไปในที่สุด ท่ามกลางคำครหาที่ว่าผู้ออกข้อสอบมาตอบข้อสอบเองจะไม่ชนะได้อย่างไร

เนื่องจากในการเปิดประมูลครั้งนั้น จุลจิตต์ บุญเกียรติ หรือ เจเจ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างทีโออาร์ และก็ยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารของสยามทีวีฯ ที่ทรัพย์สินฯ ส่งมาเคียงคู่กับบรรณวิทย์ บุญรัตน์ หรือบีบี อดีตรองผู้จัดการใหญ่จากแบงก์ไทยพาณิชย์ ที่เข้ามาดูแลสยามทีวีฯ คู่ไปกับงานในแบงก์

แต่ภายหลังจากจัดตั้งบริษัทสยามทีวีไม่นาน จุลจิตต์ และสนธิญาน หนูแก้ว พร้อมกับผู้บริหารฟากของทรัพย์สินฯ ก็ต้องถอนตัวออกไป พร้อมกับการเข้ามาของบรรณวิทย์ จากแบงก์ไทยพาณิชย์ที่เข้ามานั่งบริหารในสยามทีวีฯ อย่างเต็มตัว ท่ามกลางกระแสข่าวปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารของไทยพาณิชย์ และทรัพย์สินฯ

บรรณวิทย์นั้นเข้ามานั่งบริหารในสยามทีวีฯ พร้อมกับโปรเจกต์ในมือมากมาย ภายใต้นโยบาย "รุกขยายธุรกิจไม่ยั้ง" จะเห็นได้ว่า ในช่วง 2-3 ปี ได้มีการแตกหน่อขยายกิจการออกไปมากมาย จนมีบริษัทในเครือยี่สิบกว่าแห่ง

เป้าหมายของบรรณวิทย์ในเวลานั้น พอหลังจากได้ทีวีเสรี จนเกิดเป็นไอทีวีแล้ว ก็ต้องการขยายธุรกิจของสยามทีวีฯ เพื่อมารองรับธุรกิจทีวีเสรี ตลอดจนธุรกิจไอที จึงเปิดบริษัทเพื่อรองรับกับเป้าหมายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

แต่ปรากฏว่า การบริหารงานในสยามทีวีฯ เองไม่ราบรื่นนัก มีข่าวปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารที่ดึงเข้ามาจากหลายองค์กรออกมาตลอดเวลา พร้อมกับการทยอยลาออกของผู้บริหาร

ธุรกิจมีเดียว ก็เริ่มสร้างความยุ่งยากใจให้กับทรัพย์สินฯ ไม่น้อย เมื่อธรรมชาติในการทำธุรกิจ "สื่อ" ทำให้ทรัพย์สินฯ จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มคน หรือ กลุ่มนักการเมือง ทำให้ทรัพย์สินฯ เริ่มตกเป็น "เป้า" โจมตี เช่นในกรณีของไอเอ็นเอ็น

ที่สำคัญ บริษัทในเครือหลายแห่งที่เปิดขึ้นมา ส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จ ยังไม่สามารถสร้างรายได้

ดังนั้น สิ่งที่ทรัพย์สินฯ เลือกในเวลานี้ก็คือ โยนเผือกร้อนในมือทิ้งเสียก่อน

กลับสู่หน้าหลัก


Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.